ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชิปเซ็ต เป็นผลิตภัณฑ์และสินค้าหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการสูง จากการที่บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเริ่มแข่งขันกันพัฒนาเอไอ ซึ่งต้องใช้ชิปเซ็ตระดับสูงในการเรียนรู้และทำงานจำนวนมาก ทำให้ประเทศที่สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในซัพพลายเชนของชิปเซ็ตได้ มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจสูงตามไปด้วย
ซึ่งท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลายๆ ประเทศในอาเซียน รวมถึงไทย มีโอกาสสูงที่จะดึงดูดการลงทุนแต่หนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นมากที่สุดก็คือ ‘เวียดนาม’ โดยเฉพาะในด้านการวิจัยและพัฒนาเพราะปัจจุบัน เวียดนามเป็นที่ตั้งของศูนย์ R&D ของผู้พัฒนาชิปเซ็ตระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Qualcomm หรือ Marvell Technologies
ในวันนี้ SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาดูกันว่าอุตสาหกรรมชิปเซ็ตในเวียดนามเป็นอย่างไร? พัฒนาไปขนาดไหน? และมีข้อดีอย่างไรจึงสามารถดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน และตั้งศูนย์ R&D ภายในประเทศได้สำเร็จ?
ปัจจุบัน ‘เวียดนาม’ เป็นผู้ส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ และวงจรรวม หรือ IC รายใหญ่ของโลก โดยในปี 2022 ‘เวียดนาม’ เป็นผู้ส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากอันดับ 1 คือ มาเลเซีย และอันดับ 2 คือ สิงคโปร์ และเป็นผู้ส่งออกวงจรรวม อันดับที่ 11 ของโลก และอันดับ 3 ในอาเซียน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากมาเลเซียและไต้หวัน
โดยในปี 2023 เวียดนามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะว่า ปัจจุบัน เวียดนามสามารถดึงดูดให้บริษัทพัฒนาชิปเซ็ตระดับโลกให้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงโรงงานบรรจุภัณฑ์ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ ได้เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น
อย่างไรก็ตาม นอกจากโรงงานแล้ว อีกสิ่งที่เวียดนามประสบความสำเร็จในการดึงดูดเช่นเดียวกันคือ ศูนย์ R&D หรือศูนย์วิจัยและพัฒนา โดยปัจจุบัน เวียดนามเป็นที่ตั้งของศูนย์ R&D ของบริษัทชิปเซ็ตระดับโลกจำนวนมาก เช่น
ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามสามารถดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีเข้าไปตั้งศูนย์ R&D ในประเทศได้ก็คือ “แรงงาน” หรือกำลังคน ที่ทั้งมีความสามารถ และมีค่าแรงที่ต่ำกว่าที่อื่นเมื่อเทียบกับคุณภาพงานที่จะได้รับ โดยปัจจุบัน เวียดนามถือเป็นแหล่งวิศวกรไอที และนักพัฒนาและออกแบบชิปเซ็ต ที่เป็นที่ต้องการของบริษัทผลิตพัฒนาชิปเซ็ตทั่วโลก เพราะมีความรู้ดี เข้าใจภาษาอังกฤษ ขยันและเอาจริงเอาจังกับการทำงาน อีกทั้งมีค่าแรงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับวิศวกรในประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ Salary Explorer ระบุว่า ค่าตอบแทนเฉลี่ยของวิศวกรไอทีในเวียดนามอยู่ที่เพียง 665 ดอลลารสหรัฐ หรือราว 22,745 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าแรงเฉลี่ยของวิศวกรในสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 5,627 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 192,460 บาทต่อเดือน ในไต้หวันซึ่งอยู่ที่ 3,782 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 129,354 บาทต่อเดือน มาเลเซีย ซึ่งอยู่ที่ 1,313 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 44,908 บาทต่อเดือนและไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 85,100 บาท ต่อเดือน
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนาม ยังมีแผนดึงดูดการลงทุนด้วยการออกมาตรการทางภาษี ทั้งด้วยการลดหย่อน หรือยกเว้นภาษีให้กับบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติและมีข้อได้เปรียบในแง่ที่มีเสถียรภาพการเมือง โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแรง และมีทรัพยากรที่สมบูรณ์ ทำให้บริษัทต่างๆ อยากเข้าไปลงทุน ดังนั้น จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เวียดนามจึงเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาไปเป็นศูนย์กลางการออกแบบ พัฒนา และผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต
และถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับทุกประเทศในอาเซียน รวมถึงไทย ในการสร้างที่ยืนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพราะมีความพร้อมทั้งในฐานะฐานการผลิต และฐานการวิจัยซึ่งหากเวียดนามสามารถปั้นอุตสาหกรรมและซัพพลายเชนชิปเซ็ตขึ้นมาในประเทศได้สำเร็จเวียดนามก็มีศักยภาพสูงมากในการแซงไทย และถีบตัวเองขึ้นไปเป็นหนึ่งในประเทศรายได้สูงในอนาคต เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์นั้น เป็นสินค้ามูลค่าสูงที่เป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน