จีนยืนยันเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้ NDRC จะยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศแผนลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านหยวน และการเร่งรัดการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค
นายเจิ้ง ซานเจี๋ย ประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) แถลงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินมาตรการเสริมสร้างเศรษฐกิจ ท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม NDRC มิได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นจีน หลังจากที่ดัชนีเคยพุ่งขึ้นกว่า 10% ในช่วงเปิดตลาดวันนี้ (8 ต.ค.)
การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนดังกล่าว มีขึ้นหลังจากตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง ภายหลังช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน โดยนายเจิ้ง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NDRC อีก 4 ท่าน ได้ร่วมกันชี้แจงถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
NDRC ระบุว่าจะเร่งรัดการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นชุดพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาค โดยนายเจิ้งย้ำว่า เงินทุนจากการออกพันธบัตรพิเศษอายุยาว มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน ก่อนหน้านี้ ได้รับการจัดสรรเพื่อสนับสนุนโครงการระดับท้องถิ่นอย่างเต็มกำลังความสามารถ และ NDRC จะยังคงเดินหน้าออกพันธบัตรพิเศษอายุยาวในปีงบประมาณถัดไป
แม้คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) จะประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านหยวน สำหรับปีงบประมาณ 2568 ล่วงหน้าก่อนกำหนดเดิม แต่ดูเหมือนว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้อย่างเต็มที่ โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดวันนี้ (8 ตุลาคม 2567) ด้วยแรงซื้อที่ส่งผลให้ดัชนีพุ่งสูงขึ้นกว่า 10% ท่ามกลางความหวังว่ารัฐบาลจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงข่าวของ NDRC ซึ่งไม่มีการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดัชนีจึงปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุด
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NDRC เปิดเผยว่า รัฐบาลกลางจีนจะประกาศรายละเอียดแผนการลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านหยวน ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิม โดยนายเจิ้ง ซานเจี๋ย ประธาน NDRC ยืนยันว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมประจำปี แม้จะเผชิญกับความท้าทายทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างเฝ้าติดตามการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิด ภายหลังที่ผู้นำจีนส่งสัญญาณการยุติภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยก่อนช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายระลอก เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารพาณิชย์ และการประกาศมาตรการพยุงตลาดหุ้นด้วยวงเงินสูงถึง 3.40 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
แนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกส่งผลให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ตัดสินใจระงับการจัดซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนกันยายน แม้จะไม่มีการเพิ่มปริมาณทองคำในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่รายงานข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเผยแพร่โดย PBOC เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงรักษาระดับการถือครองทองคำไว้ที่ 72.8 ล้านออนซ์
อย่างไรก็ดี มูลค่ารวมของทองคำสำรองของจีนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยแตะระดับ 1.9147 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.8298 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้มูลค่าทองคำสำรองเพิ่มขึ้นคือราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 28% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 14 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอุปสงค์ทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นจากธนาคารกลางในหลายประเทศ
แม้ว่าธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะเริ่มชะลอการสะสมทองคำในปีนี้ แต่สภาทองคำโลก (WGC) คาดการณ์ว่า ยอดซื้อทองคำสุทธิของธนาคารกลางทั่วโลกในปี 2567 จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนปี 2565 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทองคำที่ยังคงความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
แม้ว่าจีนจะแสดงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่การที่ NDRC ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ อาจทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุน และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศแผนลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านหยวน และการเร่งรัดการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค
ความท้าทายสำคัญของจีนคือการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจ กับการควบคุมความเสี่ยงทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงมีความเปราะบาง นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ในระยะต่อไป การติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ และการบริโภคภายในประเทศ จะเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมาตรการเหล่านี้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทิศทางของเศรษฐกิจจีนในอนาคต
นอกจากนี้ การตัดสินใจชะลอการซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ ท่ามกลางความผันผวนของราคาทองคำ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยของจีนในอนาคต