การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? อาจนำมาซึ่งความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกได้ รวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบของภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เสร็จสิ้น ซึ่งได้ประเมินสถานการณ์ในกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง เนื่องจากหากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะยังคงนโยบายเดิมของประธานาธิบดี ไบเดน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก
หาก ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะต้องเผชิญกับทั้ง โอกาสและความท้าทาย ดังนี้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ซึ่งหากทรัมป์ ได้รับเลือกตั้ง ประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือกับทั้งโอกาสและความท้าทาย เพื่อรักษาเสถียรภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นโยบาย protectism ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงถึง 60% ส่งผลให้กิจกรรมทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจหยุดชะงัก ภาคธุรกิจจีนเผชิญกับภาวะกดดันอย่างรุนแรงก่อให้เกิดกระแสการไหลออกของเงินทุน การย้ายฐานการผลิต และการแสวงหาลู่ทางขยายตลาดใหม่ ซึ่งประเทศไทยอาจกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจ
โอกาสของประเทศไทย ในการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจีน โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องจักรกล ย่อมเอื้อต่อการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาค แม้ผลประโยชน์ดังกล่าวไม่อาจทดแทนผลกระทบเชิงลบจากภาวะการค้าโลกที่หดตัวได้ทั้งหมดก็ตาม
ความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ การส่งออกของจีนที่ลดลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมถึงไทย การค้าภายในภูมิภาคจึงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยยังคงมีโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ทั้งจากปัจจัยด้านราคาที่สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ แม้จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% และจากการที่สินค้าจีนมีราคาสูงขึ้น
อนาคตที่ยังไม่มีความแน่นอน หากประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การส่งออกของไทยอาจขยายตัวได้เพียง 1.0% ในขณะที่ชัยชนะของนางคามาลา แฮร์ริส อาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนจากท่าทีและนโยบายต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน
บทบาทของประเทศไทยนั้น ซึ่งไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีจุดยืนเป็นกลาง พึงดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความรอบคอบ เพื่อธำรงรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และสาธารณรัฐประชาชนจีนหลีกเลี่ยงการตกเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองระหว่างประเทศ
การคาดการณ์แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในระยะถัดไปนั้น จำเป็นต้องพิจารณาพลวัตของปัจจัยภายนอกที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
กรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะ แม้มีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องมาจากสงครามการค้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง แต่ปัจจุบันเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ จะมีอิทธิพลเหนือกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลเกี่ยวกับฐานะการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติ มีแรงจูงใจในการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ รวมถึง ประเทศไทยและโยกย้ายเงินทุนกลับไป ถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยคาดการณ์ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอาจอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2568
ในทางตรงกันข้ามหากนางคามาลา แฮร์ริส ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี คาดว่า Fed จะดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ซึ่งจะลดแรงจูงใจในการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
โดยคาดการณ์ว่า อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2568
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 จะยังคงมีแนวโน้มสดใส โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้สูงกว่า 2.0% ซึ่งเหนือกว่ากรณีที่นางคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้อาจเป็นปรากฏการณ์ระยะสั้น เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายและความเสี่ยงในระยะกลางถึงระยะยาว
การลดภาษีนิติบุคคล: นโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคธุรกิจ นำไปสู่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นของค่าแรง ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในระยะสั้น แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ วินัยทางการคลัง และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามและประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดต่อไป
‘ทรัมป์’ น่าจะสนับสนุนภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงว่า เป็นโอกาสอันดีของสหรัฐฯ ในการยกระดับกำลังการผลิตน้ำมัน โดยอาศัยปริมาณน้ำมันดิบสำรองจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศและการส่งออก
ทรัมป์ เชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันที่ก้าวล้ำของสหรัฐฯ จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่ก่อให้เกิดความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงยังช่วย บรรเทาภาระค่าครองชีพ ของประชาชนชาวอเมริกัน และมีส่วนช่วย ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทรัมป์มุ่งมั่นที่จะ ดำเนินการเจรจาทางการทูตกับประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางและรัสเซียเพื่อยุติความขัดแย้ง โดยคาดหวังว่าการคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์จะนำไปสู่ เสถียรภาพของอุปทานน้ำมันดิบ และ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย ประเมินว่า ภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าพลังงาน ส่งผลให้ ดุลการค้าของประเทศปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทรัมป์เองก็ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาสินค้าเกษตร ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามต้นทุนพลังงานและปุ๋ย รวมถึง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในตลาดโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและอาจเป็นปัจจัยที่กดดันอุปสงค์ภายในประเทศ ให้อ่อนแอลง
ทรัมป์ คาดการณ์ว่า หากได้รับเลือกตั้งราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้งราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของ ทรัมป์ คาดการณ์ว่า จะนำมาซึ่งความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับนโยบายของ แฮร์ริส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อลดทอนบทบาททางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งจะส่งแรงกดดันต่อการค้าและการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคอาเซียน
จากการวิเคราะห์ของสำนักวิจัยฯ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ภายใต้นโยบายของ ทรัมป์ จะขยายตัวในอัตราเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่ากรณีของ แฮร์ริส ที่ 3.2% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย ได้แก่
ในส่วนของนโยบายการเงิน คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25% (เทียบกับ 1.50% ในกรณีของ แฮร์ริส) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และนำไปสู่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากสินค้านำเข้าที่มีราคาสูงขึ้นก็ตาม