Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปี 2568 ภายใต้การนำของ ทรัมป์ เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับอะไรบ้าง?
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

ปี 2568 ภายใต้การนำของ ทรัมป์ เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับอะไรบ้าง?

24 ต.ค. 67
15:16 น.
|
1.0K
แชร์

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? อาจนำมาซึ่งความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกได้ รวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย

สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบของภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เสร็จสิ้น ซึ่งได้ประเมินสถานการณ์ในกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง  เนื่องจากหากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง  คาดว่าจะยังคงนโยบายเดิมของประธานาธิบดี ไบเดน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก

ปี 2568 ภายใต้การนำของ ทรัมป์ เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับอะไรบ้าง?

หาก ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะต้องเผชิญกับทั้ง โอกาสและความท้าทาย  ดังนี้

ด้านบวก

  • เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว: นโยบายลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานและการขึ้นค่าแรงในสหรัฐฯ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และลดความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
  • ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง: นโยบายส่งเสริมการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ควบคู่กับการเจรจาข้อตกลงกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางและรัสเซีย จะช่วยลดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน และช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
  • การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น: สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้บริษัทจีนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล

ด้านลบ

  • การส่งออกไทยเสี่ยงชะลอตัว: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ และทำให้การส่งออกของไทยเติบโตในอัตราที่ชะลอลง
  • ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น: ความเสี่ยงทางการคลังของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของรัฐบาลไทยสูงขึ้น
  • รายได้ภาคเกษตรลดลง: ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรไทย และอาจทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568  ซึ่งหากทรัมป์ ได้รับเลือกตั้ง ประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือกับทั้งโอกาสและความท้าทาย เพื่อรักษาเสถียรภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ฉากทัศน์ของเศรษฐกิจไทยปี 2025 ในบริบทของภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ มีประเด็นสำคัญที่น่าจับตา ดังนี้

ภาวะโลกาภิวัตน์ถดถอย: ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และนัยยะต่อเศรษฐกิจไทย

สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นโยบาย protectism ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงถึง 60% ส่งผลให้กิจกรรมทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจหยุดชะงัก ภาคธุรกิจจีนเผชิญกับภาวะกดดันอย่างรุนแรงก่อให้เกิดกระแสการไหลออกของเงินทุน การย้ายฐานการผลิต และการแสวงหาลู่ทางขยายตลาดใหม่ ซึ่งประเทศไทยอาจกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจ

โอกาสของประเทศไทย ในการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจีน โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องจักรกล ย่อมเอื้อต่อการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาค แม้ผลประโยชน์ดังกล่าวไม่อาจทดแทนผลกระทบเชิงลบจากภาวะการค้าโลกที่หดตัวได้ทั้งหมดก็ตาม

ความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ การส่งออกของจีนที่ลดลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมถึงไทย การค้าภายในภูมิภาคจึงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง 

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยยังคงมีโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ทั้งจากปัจจัยด้านราคาที่สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ แม้จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% และจากการที่สินค้าจีนมีราคาสูงขึ้น

อนาคตที่ยังไม่มีความแน่นอน หากประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การส่งออกของไทยอาจขยายตัวได้เพียง 1.0% ในขณะที่ชัยชนะของนางคามาลา แฮร์ริส อาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนจากท่าทีและนโยบายต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน

บทบาทของประเทศไทยนั้น ซึ่งไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีจุดยืนเป็นกลาง พึงดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความรอบคอบ เพื่อธำรงรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และสาธารณรัฐประชาชนจีนหลีกเลี่ยงการตกเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองระหว่างประเทศ

แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ‘เงินบาท’ ปัจจัยภายนอกและความท้าทายเชิงนโยบาย

การคาดการณ์แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในระยะถัดไปนั้น จำเป็นต้องพิจารณาพลวัตของปัจจัยภายนอกที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ

กรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะ แม้มีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องมาจากสงครามการค้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง แต่ปัจจุบันเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ จะมีอิทธิพลเหนือกว่า  

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลเกี่ยวกับฐานะการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติ มีแรงจูงใจในการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่  รวมถึง ประเทศไทยและโยกย้ายเงินทุนกลับไป ถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย  เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยคาดการณ์ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอาจอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2568

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

  • ภาวะเงินเฟ้อ : อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ย่อมส่งผลกระทบต่อระดับราคาสินค้าและบริการภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้านำเข้า เช่น เครื่องจักร วัตถุดิบ และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ
  • เสถียรภาพเศรษฐกิจ : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยภายนอก แม้การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อาจเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินบาท สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านเศรษฐกิจมหภาค
  • ความผันผวนของตลาดการเงิน : ภาวะการไหลออกของเงินทุน อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดการเงิน และเพิ่มความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงต้นทุนในการระดมทุนของภาครัฐและภาคธุรกิจ

ในทางตรงกันข้ามหากนางคามาลา แฮร์ริส ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี คาดว่า Fed จะดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ซึ่งจะลดแรงจูงใจในการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น 

โดยคาดการณ์ว่า อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2568

ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ  แนวโน้มการเติบโตและปัจจัยเสี่ยงภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 จะยังคงมีแนวโน้มสดใส โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้สูงกว่า 2.0% ซึ่งเหนือกว่ากรณีที่นางคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง  อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้อาจเป็นปรากฏการณ์ระยะสั้น  เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายและความเสี่ยงในระยะกลางถึงระยะยาว

ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในระยะสั้น

การลดภาษีนิติบุคคล: นโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคธุรกิจ นำไปสู่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นของค่าแรง ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้า

ความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว

  • ภาวะเงินเฟ้อ : แม้การปรับขึ้นค่าแรงจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับภาคครัวเรือน แต่ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจกัดกร่อนกำลังซื้อที่แท้จริง และส่งผลให้ค่าแรงที่แท้จริง (Real Wage) ปรับตัวลดลงในระยะยาว
  • วินัยทางการคลัง : การดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว โดยไม่ควบคู่ไปกับการบริหารรายจ่ายภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่การขาดดุลการคลังและภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตร : ความกังวลเกี่ยวกับวินัยทางการคลัง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
  • อุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง :  แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น แต่คาดว่า อุปสงค์ภายในประเทศสหรัฐฯ จะยังคงแข็งแกร่งในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์  ซึ่งจะช่วยพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์  มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในระยะสั้น  แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ  วินัยทางการคลัง  และอัตราดอกเบี้ย  ซึ่งต้องติดตามและประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดต่อไป

ภาวะราคาน้ำมันทรุดตัวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

‘ทรัมป์’ น่าจะสนับสนุนภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงว่า เป็นโอกาสอันดีของสหรัฐฯ ในการยกระดับกำลังการผลิตน้ำมัน โดยอาศัยปริมาณน้ำมันดิบสำรองจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศและการส่งออก

ทรัมป์ เชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันที่ก้าวล้ำของสหรัฐฯ จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่ก่อให้เกิดความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงยังช่วย บรรเทาภาระค่าครองชีพ ของประชาชนชาวอเมริกัน และมีส่วนช่วย ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทรัมป์มุ่งมั่นที่จะ ดำเนินการเจรจาทางการทูตกับประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางและรัสเซียเพื่อยุติความขัดแย้ง โดยคาดหวังว่าการคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์จะนำไปสู่ เสถียรภาพของอุปทานน้ำมันดิบ และ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ประเมินว่า ภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าพลังงาน ส่งผลให้ ดุลการค้าของประเทศปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทรัมป์เองก็ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคเกษตรกรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาสินค้าเกษตร ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามต้นทุนพลังงานและปุ๋ย  รวมถึง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในตลาดโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและอาจเป็นปัจจัยที่กดดันอุปสงค์ภายในประเทศ ให้อ่อนแอลง

ทรัมป์ คาดการณ์ว่า หากได้รับเลือกตั้งราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  ในขณะที่หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้งราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ภาวะเศรษฐกิจไทยภายใต้นโยบายของ ทรัมป์

การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของ ทรัมป์ คาดการณ์ว่า จะนำมาซึ่งความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับนโยบายของ แฮร์ริส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อลดทอนบทบาททางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งจะส่งแรงกดดันต่อการค้าและการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคอาเซียน

จากการวิเคราะห์ของสำนักวิจัยฯ  คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ภายใต้นโยบายของ ทรัมป์ จะขยายตัวในอัตราเพียง 2.5%  ซึ่งต่ำกว่ากรณีของ แฮร์ริส ที่ 3.2%  ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยประกอบด้วย

  • ภาคการส่งออกที่หดตัว : นโยบายกีดกันทางการค้าของ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย และกระทบต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง
  • อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ : ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคเกษตรกรรม และลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนในชนบทที่มีรายได้น้อย

อย่างไรก็ตาม  ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย  ได้แก่

  • การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว : จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการบริโภคภาคเอกชน
  • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ: ที่จะช่วยเสริมสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ

ในส่วนของนโยบายการเงิน คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25%  (เทียบกับ 1.50% ในกรณีของ แฮร์ริส)  เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และนำไปสู่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากสินค้านำเข้าที่มีราคาสูงขึ้นก็ตาม

แชร์
ปี 2568 ภายใต้การนำของ ทรัมป์ เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับอะไรบ้าง?