“เศรษฐกิจประเทศไทยไปทางไหน? ”
เปิดนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุน 9 พรรค
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้จัดสัมมนา สัมมนา “นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ภายใต้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง”
โดย FETCO ได้เชิญผู้แทนทีมเศรษฐกิจจาก 9 พรรคการเมือง ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาตลาดทุน หากได้เป็นรัฐบาล ได้แก่
ทั้งนี้ ให้ตัวแทนจากพรรคการเมือง ถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้
พรรคชาติพัฒนากล้า : นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวในงานสัมมนาว่า ในฐานะพูดถึงตรรกะที่ผ่านมานโยบายเศรษฐกิจของพรรค ถ้าดูบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ตาม Market Cap สมัย 10-20 ปี ชื่อเดิมๆ ในวงการหลักทรัพย์ ชื่อบริษัทปรากฎใน TOP 10 ถ้าเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ รายชื่อมูลค่าสูงสุด เมื่อก่อนมี GE City Cop Wall Mart เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อหมด สมัยนี้ เป็น Alphabet Meta Amazon ในมุมของผมสะท้อนให้เห็นว่า ในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นระบบที่เปิดให้บริษัทมีการแข่งขัน ตั้งใหม่ เติบโตเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศได้ สะท้อนให้เห็นว่า บ้านเราขาดไดนามิก ขาดพลวัตรที่ทำให้มีการแข่งขัน นำไปสู่นวัตกรรม สามารถเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงการตลาด
สามารถเข้าถึงกฎกติกาที่ทำให้เขาสามารถแข่งขันได้เลยทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้น ปรัชญาของพรรคชาติพัฒนากล้า คือ การส่งเสริมการแข่งขัน เราเชื่อมากที่สุด การแข่งขันที่โปร่งใส และเป็นธรรม กลไกตลาด ยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีของไทยเรา
นโยบายตลาดทุน มีแผนที่จะเพิ่มความหลากหลายสินค้าในตลาดทุน เปลี่ยนแปลงนโยบายส่ง
เสริมการลงทุนระยะยาว SSF ให้สั้นลง เพื่อให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และสัดส่วนกองทุนในประเทศที่ลงทุนในตลาดทุนน้อยเกินไป ปัจจุบัน 7-8% ทบทวนมาตรการภาษี เพื่อให้นักลงทุนสถาบันในประเทศคอยซื้อหุ้นตอนต่างชาติขายหุ้น
พรรคประชาธิปัตย์ : ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเราเสียหายมาก ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท เพราะนักท่องเที่ยวที่เคยมาจับจ่ายใช้สอย ทำให้รายได้ของคนไทยหายไป รัฐบาลควรต้องทำอะไร
ผู้ว่าการธปท.ส.ค.2564 ว่า รัฐบาลควรต้องใส่เงินเข้าไปอีก 1 ล้านล้านบาท และขึ้นภาษี VAT 7% เป็น 10% สรุป รัฐบาลก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เข้าใจว่าเพดานหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้ว และมีเงินก็ไม่รู้จะเอาไปลงอะไร เพราะมีการกู้ 1.5 ล้านล้านบาท ก็ยังไม่หมด ปลาใหญ่ไม่ห่วง ผมห่วงปลาเล็ก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ธุรกิจขนาดกลางและเล็กโดนซื้อ หรือต่างชาติเทคโอเวอร์ไป แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้
พรรรคประชาธิปัตย์ คิดว่า ถ้ามีเงิน 1 ล้านล้านบาทจะต้องไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ และไม่เป็นภาระกับประชาชนมากเกินไป ที่สำคัญต้องให้แต้มต่อกับรายเล็ก รายใหญ่ เป็นระดับๆ ไป
นโยบายตลาดทุน มีนโยบายตลาดทุน 3 เรื่อง 1.ภาษี คือ ต้องมีวิธีคิดชัดเจน 2.เทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และ 3.ดูแลผู้ถือหุ้นรายย่อย แก้กฎหมายให้กระชับ และเอาผิดคนที่ซื้อขายหุ้นด้วยอินไซเดอร์ และการเก็บภาษีนี้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่แนวโน้มนโยบายของพรรค ก็จะไม่เก็บภาษีขายหุ้น เพราะมีวิธีการเก็บภาษีที่ดีกว่านี้อีกมาก
พรรคเพื่อไทย : ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการ/ ผอ.ศูนย์นโยบาย/ กรรมการด้านเศรษฐกิจ “ขอพูดด้านเดียวของนโยบายเศรษฐกิจ คือ นโยบายด้านดิจิทัลอีโคโนมี 2.5 เท่า ตัวเลขที่ดิจิทัลอีโคโนมีโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ หากละเลย นโยบายไม่ถูกต้อง นั่นคือ เราเลือกที่จะขับรถบนถนนสุขุมวิท โดยที่ละเลยการขึ้นทางด่วน แต่การขึ้นทางด่วนมีราคาต้องจ่าย มีต้นทุน ดิจิทัลอีโคโนมีก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยเสนอลงทุน เพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายให้ประชาชนมี Digital Wallet เป็นของตัวเอง ปัจจุบันเริ่มจากสงครามการค้า สู่สงครามเทคโนโลยี แต่สงครามนี้ยังไม่จบจะพัฒนาไปเป็นสงคราม Currency คือ อะไร ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ต่อจากนี้ ระบบการชำระเงินแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ วงระบบสวิช อีกวงใช้บล็อกเชน ประเทศไทยในฐานะเล็ก และเปิด จำเป็นต้องพัฒนาระบบชำระเงินนี้ ทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งได้เปรียบทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งชนะ
ประชาชน 16 ปีทุกคนมี ดิจิทัล วอลเล็ตเป็นของตัวเองสนับสนุนทุนใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน ภายในรัศมี 4 กิโลเมตร ภายหลังจากที่ภาครัฐพัฒนาระบบชำระเงินระบบบล็อกเชน และใส่เงินให้เข้าไปในดิจิทัลวอลเล็ตให้กับประชาชน 16 ปีทุกคน เริ่มใช้ดิจิทัล วอลเล็ต ประเทศไทยพร้อมผ่านการชำระเงินแบบใหม่ผ่านบล็อกเชน นี่คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกันทั่วประเทศ ใช้หมดภายใน 6 เดือน ในรัศมี 4 กิโลเมตร นี่คือ นก 2 ตัว การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน นี่คือ เพื่อไทยที่ทันสมัย เพื่อไทยในโลกยุคใหม่ ใส่มือประชาชน
นโยบายตลาดทุน คือการสร้างกลไกการระดมทุนให้ดีขึ้น ทำให้เป็นตัวหลักในการพัฒนาประเทศมากขึ้น พร้อมผลักดันให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น กองทุนรวมต้องแข็งแกร่ง ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งภาษี และกฎหมายต่างๆ ดึง SME และทุนนอกเข้ามาระดมทุนในไทยพรรคไม่มีนโยบายเก็บภาษี Capital Gain Tax และไม่เก็บภาษี คริปโตเคอร์เรนซีด้วย
พรรคภูมิใจไทย : นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีม กทม. พรรคภูมิใจไทย “ปัญหาหลัก คือ หนี้สิน ครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศ 11.6 ล้านครัวเรือนยังเป็นหนี้อยู่ เดินหน้ายังงัยต้องปลดล็อค ต้องแบ่งเบาภาระหนี้สินให้ได้ก่อน
นโยบายตลาดทุน คือ ให้ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถแต่ติดขัดเรื่องกฏระเบียบ ทำให้สถานการณ์วันนี้ต้องพิจารณาปรับปรุงระเบียบอย่างไร สร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความเชื่อมั่นของประเทศ เมื่อเข้ามาลงทุนสามารถต่อยอดได้ และจะไม่เก็บทั้ง Transaction Tax และ Capital Gain Tax
พรรคพลังประชารัฐ : นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ปรึกษาคณะกรรมการนโยบาย “ หน้าที่ของรัฐ มองโครงสร้างเศรษฐกิจ ผมเขียนไว้เรื่องบิตคอยน์ แนวทางในอนาคต จัดเวทีเฉพาะ หน้าที่ของรัฐในเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ โมเดลบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมา หน้าที่จะต้องสร้างความตระหนักให้กับประชาชน การแจกเงินหนีไม่พ้นสร้างนิสัยให้ประชาชนพึ่งรัฐ
ปัญหาเร่งด่วน รัฐบาลต้องเผชิญ เสถียรภาพเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้า กระตุ้นให้ประชาชนปรับตัว ให้เข้มแข็งขึ้น คือ ลดรายจ่าย จะปฎิรูปโครงสร้างธุรกิจพลังงานครั้งใหญ่ห้ประชาชนสมดุลมากขึ้น และการเพิ่มเครื่องมือทำกิน และประชาชนปรับตัว เสนอจัดสรรเงินให้ อบต.ปีละ 30 ล้านบาท ใช้วงเงินรวม 1 ล้านล้านบาท เอาไปสร้างโครงสร้างให้เหมาะแต่ละพื้นที่ โรงอาหารสัตว์ อะไรที่ตอบโจทย์ มาจากการกู้ยอดใหม่ แต่เป็นหนี้สาธารณะที่ก่อให้เกิดรายได้ กระจายอำนาจแบบค่อยเป็นค่อยไป และหาทางป้องกันการทุจริต
นโยบายตลาดทุน คือ ทำอย่างไรให้ตลาดทุนทำงานร่วมกับรัฐบาลหน้าแก้ปัญหาโจทย์ใหญ่ๆ ของประเทศได้ เช่น วิธีการแก้ปัญหาลูกหนี้ วิธีการที่เหมาะสม คือ เจ้าหนี้ต้อง Hair Cut เอากำไรสะสมจากเจ้าหนี้ คืนให้กับลูกหนี้ ตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆ ตั้งกองทุน Start Up Fund เข้าไปร่วมกันลงทุนทำได้หรือไม่เรื่องการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น พรรคยังไม่มีนโยบาย แต่ความเห็นส่วนตัว คือต้องเก็บภาษีขายหุ้น เก็บจาก Transaction
พรรคก้าวไกล : นายวรภพ วิริยะโรจน์ ว่าที่สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
“มีอยู่ 3 ขั้นด้วยกัน
ขั้นแรก Firm Ground เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่รองรับทุกคน ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยเด็กเล็ก การศึกษาฟรีถึงปวส.เบี้ยผู้สูงอายุ สร้างงานจากศูนย์เด็กเล็ก ดูแลระบบผู้ป่วยติดเตียง
ต่อมาคือ เอสเอ็มอี เสนอ หวยใบเสร็จ ใช้แอปเป๋าตังซื้อของจากร้านค้ารายย่อย นำใบเสร็จที่ซื้อสะสมรวมกัน 500 บาท นำไปแลกสลากได้ 1 ใบ จะทำให้เกิดแรงจูงใจสนับสนุนรายย่อยมากขึ้น อันนี้คือ ธุรกิจ B2C แต่พอมาเป็นธุรกิจ B2B เสนอว่า บริษัทห้างร้านนิติบุคคล ถ้าบริษัทห้างร้านซื้อสินค้าในเอสเอ็มอีเพิ่มเท่าไหร่ ส่วนที่เพิ่มก็มาหักภาษี 50% จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ กินรวบก็จะหันมาสนับสนุนเอสเอ็มอีมากขึ้น สร้างให้คนตัวเล็กแข่งขันมากขึ้น
ขั้นที่สอง Fair Game จะมีกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ เช่น ปลดล็อคสุรา ไม่ใช่แค่ข้าวทำสุราได้ มังคุด ทำเป็นเบียร์ได้ กระเจี๊ยบทำเป็นไวน์ได้ นี่คือ โอกาส ของการปลดล็อคการผูกขาด ลดค่าครองชีพ ลดค่าไฟได้ 70 สตางค์ต่อหน่วย ภายใน 1 ปี เพียงนโยบายธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และเห็นด้วยกับการเปิดเสรีพลังงานไฟฟ้า การปฎิรูปภาครัฐ Zero Base Marketing การกระจายอำนาจ ปลดล็อคท้องถิ่น
ขั้นที่สาม Forward Grow คือ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด เสนอวิธีคิด Made with Thailand เอาธุรกิจของคนไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเซนของโลกได้อย่างไร เช่น ธุรกิจ EV ที่จะต้องลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคขั้นสูง อิเล็กทรอนิกส์พาวเวอร์ การชาร์จ EV คิดเล็กลงละเอียดเข้าไป รวมถึง อุตสาหกรรมใหม่ คือ Data Economy เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI รัฐต้องเร่งทำการกำหนดมาตรฐานของข้อมูลและ Open DATA และ Creative Economy
นโยบายตลาดทุน คือ เพิ่มการลงทุนในเอสเอ็มอีขนาดกลาง ด้วยนโยบายหวยใบเสร็จ หาก 4 ปีสร้างผู้ประกอบการรายใหม่มาสู้กับรายใหญ่ได้ น่าจะทำให้มีประมาณ 10% หรือประมาณ 1 แสนรายเติบโตสามารถเข้าตลาดทุนได้ เพิ่มจำนวนนักลงทุน Net Zero เสนอปลดล็อกธุรกิจ เปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้า การปล่อยคาร์บอนลดลง เรื่องต้นไม้ปลดหนี้
สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น มีนโยบายที่จะไม่เก็บ Transaction Tax แต่เก็บภาษีส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้น หรือ Capital Gain Tax
พรรคชาติไทยพัฒนา : นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์
นโยบายเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มโอกาสให้คนฐานรากให้เข้าถึงแหล่งทุน เช่น แหล่งเงินทุนเกษตรกรต้องเปลี่ยนจากกองทุนหมู่บ้านเป็นวิสาหกิจหมู่บ้าน และโอกาสสร้างรายได้เสริม ด้วยนโยบายคาร์บอนเครดิต ลดความเหลื่อมล้ำ
นโยบายตลาดทุน คือ การสังคายนากฎหมาย แยกประเภทหมวดหมู่ทั้งแพ่งและพาณิชย์ และกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีธุรกิจใหม่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ยืนยันว่าจะไม่เก็บภาษีขายหุ้น
พรรครวมไทยสร้างชาติ : ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
นโยบายเศรษฐกิจนั้น มีแนวคิดหารายได้ 4 ล้านล้านบาท ใน 2-3 ปีข้างหน้า เน้นยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ท่องเที่ยวออกมาตรการกระตุ้นชาวต่างชาติ มาพำนักในระยะยาว และเราต้องเป็น Hup ของดาต้า เซอร์วิส เซ็นเตอร์แล้ว และนโยบาย BCG จะเกิดบริษัทใหม่ๆขึ้นอีกมาก และช่วยกระจายรายได้ ทำให้เกิดการจ้างงาน มากกว่า 1 ล้านคน ทำให้จีดีพีโตมากกว่า 20% ใน 2-3 ปีข้างหน้า
นโยบายตลาดทุน คือ กลไกตลาดหลักทรัพย์ช่วยนักลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น กองทุนช่วย SME กองทุนช่วยธุรกิจ BCG และเป็นทางเลือกผู้ออมเงิน LTF แบบใหม่ช่วยบริษัทและประชาชน โฟกัสไปที่ SME มีสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จะช่วยการลงทุนในตัวหุ้นใช้ดิจิทัลบาท สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น คือ ไม่เก็บ Transaction Tax แต่จะเก็บ Capital Gain Tax”
พรรคไทยสร้างไทย : นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ
นโยบายเศรษฐกิจ คือ การเสนอการลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการแก้ไขกฏหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ 1,400 ฉบับ ลดการบังคับชั่วคราว โดยออกพ.ร.ก.เพียง 1 ฉบับ ต้องแก้หนี้ครัวเรือน หลุดจากเครดิตบูโรและทำธุรกิจต่อได้ ส่วนรายได้ ต้องสร้างรายได้ ไม่ใช่นโยบายลดแลกแจกแถม ทำให้SME แข็งแรงให้ได้ ทำให้ทุกคนต้องเข้าระบบภาษี ต้องมีกองทุนช่วยเรื่องอินโนเวชั่นแก่ SME และมีนโยบายสร้างความสุข ด้วยปราบคอร์รัปชั่นในภาคธุรกิจ และเพิ่มโอกาสเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ลดเวลาเรียน 3 ปี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าตลาดแรงงานได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี
นโยบายตลาดทุน คือ ดึงผู้ประกอบการรายเล็กเข้าตลาดทุนมากที่สุด ต้องมีความร่วมมือให้
ข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจน อย่าให้ความร่วมมือกับบริษัทสีเทา มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตลาดสุขภาพ และเรื่อง BCG รวมถึงตลาดคริปโตต้องตามให้ทัน ตลาดหลักทรัพย์และก.ล.ต.ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน กำกับดูแล ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และสำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น คือ จะไม่เก็บภาษีขายหุ้นแน่นอน