ข่าวเศรษฐกิจ

สภาพัฒน์ฯ แนะรัฐบาลใหม่ ทำนโยบายให้คำนึงถึงต้นทุนการคลัง

15 พ.ค. 66
สภาพัฒน์ฯ แนะรัฐบาลใหม่  ทำนโยบายให้คำนึงถึงต้นทุนการคลัง

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง 2566 ในฟากของเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ทั้งความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ และ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่  

วันนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2566 ปรากฏว่า ขยายตัวในช่วง 2.7 - 3.7% โดยมีปัจจัยหนุนคือ ภาคการท่องเที่ยฟื้นตัว การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนยายตัวได้ดี  แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง 1.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.5 - 3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.4% ของ GDP 

GDP ไตรมาส 2 /2566

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิสภาพัฒน์ฯ

อย่างไรก็ตาม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิสภาพัฒน์ฯ ประเมินว่า ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย  คือ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก 2.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย 3.ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร 4.เงื่อนไขและบรรยากาศทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง

สภาพัฒน์ แนะถึงการทำนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาว่า ประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจจากผลพวงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้มีการใช้มาตรการทั้งด้านการเงินและมาตรการด้านการคลังอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าว และพยุงเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้

ดังนั้น การใช้งบประมาณในการทำนโยบายต่างๆ ระยะต่อไปของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานี้ ควรต้องคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด เพราะจะมีผลต่อการที่ต่างประเทศจะประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป

สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงนั้น นายดนุชา กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำนโยบายในส่วนนี้ ควรต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะหากเป็นการไปเพิ่มภาระต้นทุนให้กับภาคธุรกิจแล้ว ย่อมหนีไม่พ้นที่ภาคธุรกิจจะต้องส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมายังผู้บริโภค ด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อของประเทศ นอกจากนี้ อาจมีผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติด้วย

นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรทำ 

  1. การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า โดยเร่งรัดการส่งออกไปยังตลาดที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวดี และการสร้างตลาดใหม่ รวมทั้งประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
  2. การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 63-65 ให้เกิดการลงทุนจริง แก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
  3. การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่องโดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา และสร้างความพร้อมรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น
  4. การดูแลผลผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูการเพาะปลูก 2566/2567 ควบคู่ไปกับการการเตรียมพร้อมรองรับและแก้ไขปัญหาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ
  5. การรักษาบรรยาการทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ ในช่วงหลังการเลือกตั้ง รวมทั้งการเร่งรัดกระบวนการงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567

สภาพัฒน์ ห่วงเศรษฐกิจไทย

เลขาธิการสภาพัฒน์ คาดว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในกรณี worst case จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งหางบประมาณมาอัดฉีด โดยเฉพาะการลงทุน เช่น งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณ จะต้องมีการเร่งในช่วงเดือน ก.ย.66 นี้ ให้สามารถใช้ได้ในช่วงปลายปี ประมาณ 2 แสนล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน ก็คาดว่าจะมีงบลงทุนอีก 2 แสนล้านบาท ที่จะใช้ได้ในช่วงไตรมาส 1/2567

ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 มีการจัดทำไว้หมดแล้ว ถ้ารัฐบาลใหม่จะดำเนินการ ก็ทำได้ 2 แนวทาง คือ 1. การปรับเล็ก คือ ปรับรายละเอียดไส้ในของงบประมาณ และ 2.ทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็ต้องมาดูประมาณการรายได้ การขยายตัวเศรษฐกิจ ประมาณการรายจ่าย แต่ก็คาดว่าจะไม่แตกต่างจากที่เคยทำไว้เดิม

"การทำงบประมาณ มีข้อจำกัดหลายเรื่อง แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะเลือกทางไหน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด เพื่อให้สอดรับกับนโยบายที่ได้ประกาศไว้ อย่างไรก็ดี ต้องพิจารณาวินัยการเงินการคลังของประเทศควบคู่ไปด้วย" นายดนุชา ระบุ

 

advertisement

SPOTLIGHT