ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองไทยก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้ ล่าสุดข้อมูลเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย โดยคาดการณ์ว่า GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ขยายตัว 1.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.6% ในไตรมาสแรกของปี ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.2%
นอกจากนี้ สภาพัฒน์ยังได้ปรับลด ตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 ลงเหลือ ขยายตัว 2.5-3.0% จากประมาณการเดิมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัว 2.7-3.7%
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปรับลด GDP เพราะ การส่งออกไทยติดลบอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาสแล้ว โดยคาดการณ์ว่า การส่งออกไทยปี 2566 จะติดลบ -1.8% จากเดิมคาดไว้ที่ ติดลบ -1.6% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ปรับลดลงมาที่ 1.7-2.2% จากเดิม 2.5-3.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยในปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28 ล้านคนเท่ากับประมาณการเดิม ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว ปรับลดลงมาที่ 1.03 ล้านล้านบาท จากเดิม 1.27 ล้านล้านบาท
1.เงื่อนไขทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ
2.เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด และความผันผวนในตลาดการเงินโลก
3.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
4.ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่นิ่งนั้น เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า มีเรื่องเดียวคือ การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ส่วนปัญหาความขัดแย้งในเรื่องการออกมาชุมนุมนั้น เห็นว่ายังมีไม่มากและไม่รุนแรงขยายวงกว้าง ดังนั้นถ้าสามารถทำให้การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยมากที่สุด ก็จะทำให้นักลงทุนที่ชะลอดูสถานการณ์อยู่นั้น เกิดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น
"ตอนนี้ นักลงทุนต่างประเทศรอดูสถานการณ์อยู่ว่า การเมืองไทยเป็นอย่างไร ต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศในช่วงเปลี่ยนผ่านให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ให้กระทบบรรยากาศการลงทุน" นายดนุชา กล่าว
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 คาดว่าจะเริ่มเห็นการเบิกจ่ายได้ในเดือนเม.ย. 67 ซึ่งหากทุกหน่วยงานได้เตรียมกระบวนการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว พองบประมาณออกมาก็สามารถเบิกจ่ายได้ทันที อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเบิกจ่ายงบประมาณนั้น จะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณไปพลางก่อนได้ เพื่อทำให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดทำหลักเกณฑ์ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ส่วนการพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปนั้น นายดนุชา มองว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีปัญหาการบริโภคในประเทศ แต่เป็นเรื่องการส่งออก ดังนั้นต้องเร่งรัดการส่งออกเป็นหลัก การจะมีมาตรการใดๆ ออกมา ต้องคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร และจะมีมาตรการอะไรที่จะเข้ามาช่วยพยุงหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ตรงเป้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะต้องติดตามเศรษฐกิจจีนที่มีความผูกพันกับเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก ตลอดจนปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และการแข่งขันทางการค้าในช่วงถัดไป