นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อ ภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ?เร่งเครื่อง...ติดสปีดเศรษฐกิจไทย? และมอบรางวัลสุดยอด CEO ประจำปี 2023 โดยพูดถึงความคืบหน้าของนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่า ให้ติดตามข้อมูลจากนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ซึ่งล่าสุดวันนี้มีการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ครั้งที่ 2 หลังจากที่เลื่อนมาแล้ว 2 ครั้ง จากวันที่ 19 ต.ค. และ 24 ต.ค.
นายกรัฐมนตนตรี ระบุถึง การปรับเงื่อนไขผู้ได้รับสิทธิ์ดูว่าใครรวย ไม่รวยนั้นรัฐบาลกำลังหาคำจำกัดความที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายว่า คำว่าคนรวยนั้นคืออะไร พร้อมกับน้อมรับคำแนะนำของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยที่อยากให้มีการเฉพาะเจาะจงผู้ได้รับสิทธิ์มากขึ้น ซึ่งบางภาคส่วนที่ไม่เดือดร้อนอาจจะไม่ต้องรับ ในส่วนนี้รัฐบาลจะรับฟังความเห็นคิดของทุกฝ่าย
ส่วนประเด็นการแบ่งจ่ายเงินดิจิทัลเป็นสามงวดนั้น นายกรีฐมนตรี ระบุว่า ได้มีการพิจารณาแล้วและมีความเห็นว่าไม่เอา เพราะการจ่ายงวดเดียวถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินก้อนใหญ่และทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนกับองค์กรอิสระว่านโยบาย Digital Wallet ขัดต่อกฎหมาย รัฐบาลก็พร้อมชี้แจง ถือเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระมีในการตรวจสอบ รัฐบาลก็มีหน้าที่ต้องชี้แจงถึงข้อเท็จจริง
นายกรัฐมนตรี ระบว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา GDP ของประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 1.8% เท่านั้น หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นจาก 76% ขึ้นมาเป็น 91% สูงจนเป็นอันดับ 7 ของโลก ประเทศไทยต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลต้องเดินสายชี้แจง รับฟังข้อเสนอแนะ ข้อท้วงติง หากมีคนไปร้องเรียน รัฐบาลก็จำเป็นต้องชี้แจง นอกจากนั้นรัฐบาลกำลังเร่งเดินหน้านโยบาย Digital Wallet ให้เร็วที่สุด สำหรับข้อมูลรายะละเอียดต่าง ๆ ขอทำการประชุมก่อน เพราะทุกคนมีข้อสงสัยมากมายหากพูดไปโดยที่รายละเอียดยังไม่เรียบร้อยจะทำให้เกิดความสับสนขึ้นอีก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังประกาศแก้หนี้ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ลดค่าไฟ น้ำมัน พักหนี้เกษตรกร ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท หวังยกระดับความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน เพื่อให้ลืมตาอ้าปากได้ พร้อมเดินสายดึงลงทุน
สำหรับการจัดงานสัมมนาและพิธีมอบรางวัล Thailand CEO ECONMASS Awards 2023 “FAST Forward>>Better Thailand” ภายใต้หัวข้อสัมมนา “เร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพประชาชน” ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งานหลักของกระทรวงพาณิชย์คือลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ซึ่งในเรื่องการส่งออก 10 เดือนปี 66 ติดลบ 3.8% แต่เดือนล่าสุด ก.ย.66 เป็นบวก 2.1% ดุลการค้าเป็นบวกสองเดือนติด ถือเป็นสัญญาณดีที่การส่งออกกลับมาบวก 2 เดือนติดต่อกัน มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นดอลลาร์ ในเดือนก.ย. จากเดือนก่อนหน้า 2.4 หมื่นดอลลาร์ เทียบประเทศอื่น ผู้ส่งออกหลายประเทศติดลบมาอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นไทยและ เวียดนามที่เป็นบวกจากยอดส่งออกกลุ่มรถยนต์มากที่สุด ส่วนสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น สะท้อนรายได้ถึงรากหญ้า
ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันและขับเคลื่อนเต็มที่เพื่อให้ส่งออกติดลบน้อยที่สุด โดยเน้นย้ำกับภาคเอกชนต้องจับมือเดินไปด้วยกันพยายามเต็มที่ แต่กังวลปัจจัยควบคุมไม่ได้ คือสงครามอิสราเอล ถ้าลุกลามก็จะกระทบเยอะ ขณะที่ในปี 67 จะต้องรอติดตามตัวเลขของภาพรวมปีนี้ทั้งปีในเดือนธ.ค. อีกครั้ง ก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นการประมาณการ
นอกจากนี้ ทูตพาณิชย์ ต้องทำงานหนัก ส่งเสริมผลักดันการส่งออก และในเดือนพ.ย.นี้จะเชิญทูตพาณิชย์ทั่วโลกกลับมาประชุมหารือถึงแผนสนับสนุนการค้าของไทย รวมถึงผลักดันเขตการค้าเสรี(FTA)กับประเทศอื่นๆเพิ่มเติม ในการหาตลาดใหม่ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยต้องเจรจาพยายามทำให้จบเร็วที่สุด เพราะถ้าช้าจะเสียโอกาส เชื่อว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
"การหาตลาดใหม่ เพื่อหารายได้ ทั้งเรื่องความตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยทำไปแล้วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลผลบังคับใช้ 18 ประเทศ อยู่ระหว่างเจรจา 12 ฉบับ และยังมีแผนเจรจาเพิ่มเติมด้วย โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน และมั่นใจว่า แม้จะลำบาก ด้วยปัจจัยลุมเร้า คิดว่า คงฝ่าฟันไปได้ สิ่งที่กำลังจะมาถึง หวังว่า ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่าเกิด"นายกีรติ กล่าว
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมไทยจะเดินแบบเดิมไม่ได้ ต้องเป็นเศรษฐกิจก้าวหน้ายั่งยืน โดยในอนาคตการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต้องออกเป็นการค้าและบริการมากขึ้น ขับเคลื่อน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมกึ่งบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ดึงมาทำให้อุตสาหกรรมเศรษฐกิจแข็งแรง เช่น อาหารไทยมีความละเอียดอ่อน มีมาตรฐาน ทำให้เกิดซอฟต์พาวเวอร์ได้ , ประยุกต์เศรษฐกิจฐานราก ดึงการบริหารจัดการสมัยใหม่ เกษตรอุตสาหกรรม นักธุรกิจเกษตร อุตสาหกรรมชุมชน
ทั้งนี้ ในเรื่องอุตสาหกรรมใหม่ ล่าสุดได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอรด์อีวี) ขณะที่อุตสาหกรรมต้องอยู่ได้ดีกับชุมชนโดยรอบ มีการตรวจโรงงาน รายงานข้อมูล ให้ความสำคัญกับชุมชนและโรงงานต้องปรับตัวให้อยู่ร่วมกับชุมชน ซึ่งขณะนี้ในภาคอุตสาหกรรมจะดูแค่มาตรฐานสินค้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกฎกติกาอื่นๆร่วมด้วย เช่น เกี่ยวกับคาร์บอน พืชไร่ต้องไม่เผา ไม่กระทบกับพีเอ็ม 2.5 และการกระจายรายได้ต้องอยู่รอบชุมชนรอบโรงงาน
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า งานของกระทรวงคมนาคมไม่ได้เพียงแต่จัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น แต่ระบบคมนาคมต่างๆที่ดำเนินการทั้งลดราคาค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดกับสายสีแดงและสีม่วง ซึ่งมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นในสายสีม่วงจากกว่า 1 หมื่นคนเป็น 7.4 หมื่นคนต่อสัปดาห์ และสายสีแดงกว่า 2 หมื่นคนเป็น 3.5 หมื่นคนต่อสัปดาห์ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีเหลืองจะต้องมาหารือกันต่อ และอาจหารือการดำเนินการร่วมกับตั๋วใบเดียวด้วย เป็นเรื่องควิกวินต้องให้เสร็จโดยเร็ว
ส่วนระบบคมนาคมต่าง ๆ อย่างรถเมล์ไฟฟ้า รถเมล์อีวี เร่งการใช้เข้ามาในระบบสาธารณะและได้ให้ใบอนุญาตกว่า 2,000 คัน โดยอีกใน 3 ปีข้างหน้าจะมีมากถึง 6,000 คันรอบกรุงเทพ และจะต่อยอดไปรถแท็กซี่ไฟฟ้าด้วย รวมถึงอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะมีรถไฟฟ้ารวมทั้งหมด 375 กิโลเมตร จากแผน 14 เส้นทาง 554 กิโลเมตร ส่วนรถไฟ จะขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าจากทางเดี่ยวเป็นรถไฟทางคู่ และต้องเร่งดำเนินการต่อเชื่อมรถไฟสายกรุงเทพไปนครราชสีมา เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
นอกจากนี้จะพยายามเร่งแก้ไขเส้นทางถนนที่มีปัญหาและเร่งแก้ปัญหาคอขวดในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษ โดยต่อยอดเส้นทางบ้านแพ้วไปปากท่อ เพื่อแก้ปัญหา และเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ นครปฐมไปหัวหิน และพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานเดือนเมือง ท่าอากาศยานแนวชายฝั่งอันดามัน และภาคเหนือตอนบน รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นการทำยุทธศาสตร์พลิกประเทศ
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี กล่าวว่า โครงการอีอีซี ดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศ และโจทย์คือต้องให้ไปถึงเชิงสังคมและประชาชน นำเงินลงทุนลงไปในพื้นที่ชุมชน ซึ่งในอนาคตโจทย์ดูแลอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 อุตาหกรรม มี 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ จับเป็นเทรนด์ซึ่งถ้ามีฉลามเข้ามา คนในชุมชนต้องเป็นเหาไปเกาะได้ โดยประชาชนต้องจับการเชื่อมโยงไปพื้นที่ได้
สำหรับโจทย์ของ EEC คือ ดูแล S-curve และ new S-curve โดย 5 คลัสเตอร์ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ คือ 1.คลัสเตอร์สุขภาพ 2.คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ 3.คลัสเตอร์เกี่ยวกับอีวี 4.คลัสเตอร์ BCG เกี่ยวกับพลังงานสีเขียว 5.คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ โดยในสามปีข้างหน้า ไทยพยายามจับเทรนอุตสาหกรรม และเลือกดูซัพลายเชญ มากกว่าอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.เดินเครื่องการท่องเที่ยว อุตสหากรรมท่องเที่ยวทำรายได้เข้าประเทศ 1 ใน 4 จีดีพีประเทศ โดยเชิญชวนคนต่างชาติเข้าเที่ยวไทย และให้คนไทยเที่ยวไทย ทำเรื่องเชิญชวนคนเที่ยวไทยต่อเนื่อง ช่วยเกิดรายได้ในท้องถิ่น และต้องให้ความสำคัญการเดินทางสะดวก ประทับใจ ซึ่งการที่รัฐบาลยกเว้นวีซ่าจีน ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยมากขึ้น แม้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่นักท่องเที่ยวจีนมีความมั่นใจอยู่
ขณะที่ไทยต้องขับเคลื่อนและมีความร่วมมือสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวอยู่นานและมีการใช้จ่ายสูงในไทย โดยก่อนโควิดไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท จำนวน 40 ล้านคน ในปีที่แล้วฟื้นตัวเต็มที่ 11 ล้านคน และปีนี้จะเพิ่มถึง 25 ล้านคนโดยยังผลักดันให้คนเที่ยวเมืองรอง และมีซอฟพาวเวอร์ยกระดับท่องเที่ยวไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) จะสามารถเติบโตได้ 5% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้า มองว่ามีความเป็นไปได้เห็นจากการทำงานรัฐบาลชุดนี้ จากเดินทางไปต่างประเทศร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นเซลส์แมน มีความมุ่งมั่น และได้พาภาคเอกชนไปพบซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่ พานักธุรกิจไปทำบิซิเนสแมชชิ่ง
ทั้งนี้ ในส่วนของหอการค้าพยายามผลักดันเจรจาเอฟทีเอของอียู รวมถึงยูเออี พยายามสรุปให้ได้ รัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจและเดินหน้าให้ได้เพื่อให้การส่งออกเติบโตดี และการลงทุนโดยตรง(เอฟดีไอ) เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงต้องเร่งแก้ไขกฎระเบียบเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย พร้อมกับอยากให้รัฐบาลส่งเสริมเอกชนไปลงทุนต่างประเทศด้วย
“ส่วนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต หอการค้าเสนอรัฐบาล เพราะมองว่ามีระบบอยู่แล้วอย่างแอปเป๋าตัง มีแพลตฟอร์มวอลเล็ตหน่วยงานอื่นของเอกชนซึ่งมีอยู่แล้วน่าจะใช้ส่วนนี้เป็นประโยชน์ได้ ไม่ต้องรอและไม่ต้องลงทุน เพราะจะเสียเวลา ซึ่งแอปเป๋าตังมีการลงทะเบียน 40 ล้านคน”นายสนั่น กล่าว
นายสนั่น กล่าวว่า ในนามกกร.เองให้ความสำคัญ เศรษฐกิจภาพรวม ยกระดับขีดความสามารถ เรื่องบีซีจี สีเขียวสิ่งเหล่านี้ให้ความสำคัญมาก โดยประเทศไทยต้องยกระดับขีดความสามารถคนรุ่นใหม่ ทั้งด้านเทคโลยี นวัตกรรม เป็นสิ่งสำคัญต้องพัฒนาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีโครงสร้างพึ่งพาต่างชาติมากเกินไป ทำให้ต้องสร้างความเข้มแข็งจากในประเทศด้วย
ที่มา : สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ
VDO เกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจไทย