กระทรวงการคลังได้ออกมาปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ให้ขยายตัวถึง 2.7% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ก็ถูกมองว่าเป็น "ไพ่ตาย" ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ต้องจับตามอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
โดยสัญญาณบวกจากไตรมาส 2 ปี 2567 ที่เห็นได้ชัดคือการขยายตัวต่อเนื่องของภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นถึง 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกระทรวงการคลังคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 36.0 ล้านคน และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 47,000 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) ไปยัง 93 ประเทศ/ดินแดน
นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนก็คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% การลงทุนภาคเอกชน 3.6% และการส่งออกสินค้า 2.7% ในขณะที่การนำเข้าสินค้าจะขยายตัว 3.1% โดยเฉพาะสินค้าทุนที่คาดว่าจะเติบโตตามการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในครั้งนี้เป็นผลมาจากสัญญาณบวกที่ชัดเจนขึ้นในหลายภาคส่วน เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา การส่งออกสินค้ากลับมาฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าสำคัญก็เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวถึง 3.2% นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้จากการท่องเที่ยวก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของภาครัฐ ขณะเดียวกัน การเบิกจ่ายภาครัฐก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงท้ายของปีงบประมาณ 2567
ในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าอาหารและพลังงานที่ลดลงตามมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของรัฐบาล ส่วนเสถียรภาพภายนอกประเทศก็แข็งแกร่งขึ้น โดยดุลบริการมีแนวโน้มเกินดุลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 น่าจะเกินดุลถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.4% ของ GDP
นอกเหนือจากประมาณการข้างต้น โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในผลการประเมินนี้ อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อีก โดยกระทรวงการคลังประเมินว่าโครงการนี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.2-1.8% ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น แหล่งที่มาของเงินทุน เงื่อนไขโครงการ จำนวนผู้เข้าร่วม และพฤติกรรมการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านราคาพลังงานและความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่เกิดจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศมหาอำนาจ และปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง
สำหรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเช่นกัน เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจในประเทศไทยเองก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2567 โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของภาครัฐในทุกหน่วยงาน รวมทั้งการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season)
นอกจากนี้ การเร่งรัดการลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว ถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 8 ด้านภายใต้กรอบนโยบาย Ignite Thailand ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในหลากหลายมิติ
หนึ่งในความพยายามที่สำคัญคือการจัดตั้งโครงการศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ภายใต้หัวข้อ Ignite Finance: Thailand’s Vision for a Global Financial Hub เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โฆษกกระทรวงการคลังแสดงความมั่นใจว่าการสนับสนุนและส่งเสริมปัจจัยเหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง นำไปสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคในอนาคต