สศอ.ยันรัฐบาลไทยเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มที่ พร้อมเปิดกว้างรับผู้ผลิตจากทุกประเทศ และออกมาตรการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในอนาคต พร้อมทั้งชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่านโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ยืนยันว่า รัฐบาลไทยยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง โดยมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนและพัฒนายานยนต์สมัยใหม่อย่างครอบคลุม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรถยนต์จากทุกประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนี้ สศอ. ได้ร่วมมือกับสถาบันยานยนต์ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม รองรับการขยายตัวของโรงงานผลิตรถยนต์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567-2568 ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดความต้องการแรงงานกว่า 5,000 อัตราต่อปี
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีข่าวลือที่ระบุว่า นโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทยส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางของนานาประเทศที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และหลายประเทศได้กำหนดมาตรการจำกัดการใช้รถยนต์สันดาปภายในในอนาคตอันใกล้
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนและพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ทุกประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฮบริด (HEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน (BEV) อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 25 ปี โดยเปิดกว้างสำหรับผู้ผลิตรถยนต์จากทุกประเทศ และกำหนดมาตรการสนับสนุนทั้งในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและมิใช่ภาษี ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ผลักดันมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น มาตรการ EV3 และ EV3.5 ซึ่งมีค่ายรถยนต์เข้าร่วมมากกว่า 14 ราย และมีการจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารวม 6,700 ล้านบาท รวมถึง การอนุมัติบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับ BEV จำนวน 18 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 39,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 400,000 คันต่อปี นอกเหนือจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายในประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศอีกด้วย
เศรษฐกิจชะลอตัวฉุดโรงงานรถยนต์ ICE ปิดตัว ไม่ใช่แค่ผลพวง EV
สาเหตุหลักของการปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ ICE และการลดกำลังการผลิต ไม่ได้เกิดจากนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในปี 2566 ที่ GDP ของไทยเติบโตไม่ถึง 2% และอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาหนี้เสียในกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะ ICE ที่ยังไม่มีรุ่น BEV ผลิตออกมา ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อรถยนต์ได้ตามปกติ
สภาพตลาดที่ซบเซาทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต้องลดกำลังการผลิต และมี 2 รายที่ประกาศปิดโรงงาน ได้แก่ โรงงานซูบารุ ซึ่งจะยุติการผลิตในสิ้นปี 2567 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และโรงงานซูซูกิ ซึ่งจะยุติการผลิตในสิ้นปี 2568 เนื่องจากการปรับโครงสร้างการผลิตทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การปิดโรงงานของซูซูกิไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนมากนัก เนื่องจากยังสามารถผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตรายอื่นได้
เพื่อรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมแผนพัฒนาและฝึกอบรมทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของผู้ผลิตรายใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในปี 2567-2568 ซึ่งคาดว่าจะต้องการแรงงานกว่า 5,000 คนต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับรถยนต์ ICE และยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดอีกด้วย
รัฐบาลพร้อมส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
นอกเหนือจากการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน (BEV) แล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เช่น รถยนต์ไฮบริด (HEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผู้ผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของประเทศ ให้สามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น
ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุน มาตรการภาษีสรรพสามิต และมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ HEV ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
โดยในปี 2566 มีการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มียอดการผลิตรวม 85,916 คัน เพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนการผลิตรถยนต์ HEV ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) การใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศ และการพัฒนาระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศหลายราย โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมในอีก 4-5 ปีข้างหน้าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นสำหรับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเปิดรับการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์ทุกสัญชาติ นโยบายและมาตรการที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาทักษะแรงงาน และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน