SCB CIO ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวลงแบบ Soft Landing มองว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยชั่วคราวจากพายุเฮอริเคน ไม่ได้มาจากการจ้างงานที่ลดลงอย่างถาวร แนะทยอยสะสมตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯ อายุเฉลี่ยประมาณ 2-4 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับ (coupon rate) ที่ยังอยู่ในระดับสูง
เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. 2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนหนัก รวมถึง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลดลงแรงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย (Recession) หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 1.14 แสนตำแหน่ง ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 4.3%
ทั้งนี้ SCB CIO มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าจะเกิด Recession อย่างที่กังวล แต่อาจจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงแบบจัดการได้ หรือ Soft Landing ในระยะถัดไป โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรขยายตัวน้อยลง มาจากปัจจัยชั่วคราว คือ
- พายุเฮอริเคนเบอริล พัดถล่มรัฐเท็กซัส ทำให้การจ้างงานชะลอตัวลง เนื่องจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ มีการปรับลดชั่วโมงการทำงานลง และเลิกจ้างชั่วคราวเพิ่มขึ้น
- การเลิกจ้างชั่วคราว และกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้น อันเกิดจากการเข้ามาของผู้อพยพ และอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการแรงงาน ไม่ได้มาจากการจ้างแรงงานลดลงอย่างถาวร
ดังนั้น ตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาจึงไม่ได้บ่งบอกว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย โดยมองว่า เมื่อสภาพอากาศกลับมาเป็นปกติ การเลิกจ้างชั่วคราวจะหายไป และการจ้างงานในเดือน ส.ค. น่าจะปรับตัวดีขึ้น เพราะเมื่อพิจารณาข้อมูลอื่นเสริม ยังพบว่า การจ้างงานในภาคบริการยังขยายตัวถึงแม้จะชะลอลง และการเลิกจ้างยังอยู่ในระดับต่ำ
ส่วนภาคการผลิต ที่นักลงทุนกังวลกับตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ในภาคการผลิต (PMI) ที่จัดทำโดยสถาบันการจัดการอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) ออกมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต SCB OIC มองว่า ปัจจุบันภาคการผลิตในสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตมาก
โดยปัจจุบัน ภาคการผลิตมีสัดส่วนราว 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ แตกต่างจากเมื่อปี 2493 ซึ่งเคยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของ GDP ขณะที่ การจ้างงานในภาคการผลิต คิดเป็นราว 8% ของการจ้างงานโดยรวม ลดลงมากจากในอดีตที่เคยอยู่ในระดับราว 30%
นอกจากนี้ เมื่อไปพิจารณาตัวเลขดัชนีชี้วัดภาคบริการของ ISM ซึ่งอยู่ที่ระดับ 51.4 พบว่า ยังบ่งชี้ถึงการขยายตัว ดังนั้น การที่ดัชนี้ชี้วัดภาคการผลิตหดตัว อาจจะยังไม่ใช่เหตุผลที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิด Recession ได้
มอง Fed ปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง แนะซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น
ทั้งนี้ จากการที่ตลาดกังวลว่าจะเกิด Recession ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 100 bps ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่า Fed น่าจะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ 3 ครั้ง ในการประชุมเดือน ก.ย. ต่อด้วย พ.ย. และ ธ.ค. นี้ ครั้งละ 25 bps ภายใต้สมมติฐานที่เรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing
ส่วนทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed นี้ SCB OIC คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มลดลงในอนาคต โดย Bond Yield ของพันธบัตรระยะสั้น จะปรับลดลงมากกว่า ระยะยาว (Bull Steepening) ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เป็น Inverted Yield Curve โดยผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว กลับมาเป็น Normal Yield Curve ที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสูงกว่าระยะสั้นตามปกติ
ดังนั้น SCB CIO แนะนำให้ นักลงทุนทยอยสะสมตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯ อายุเฉลี่ยประมาณ 2-4 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับ (coupon rate) ที่ยังอยู่ในระดับสูง และมีโอกาสรับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อ Fed ปรับลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ SCB OIC ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ระยะยาว ซึ่งมีความเสี่ยงรับผลกระทบจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อ Bond Yield อาจปรับเพิ่มขึ้น กรณีมีขาดดุลงบประมาณและออกพันธบัตรมากขึ้น รวมทั้ง กรณีมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ (Tariff) จะทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอนาคต
แนะลงหุ้นสหรัฐฯ ระยะยาว ทั้งกลุ่ม Growth และ Defensive
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ SCB OIC มองว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2567 ออกมาแล้วประมาณ 76% ซึ่งในจำนวนนี้ 81% มีกำไรดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ที่เริ่มมีฐานกำไรที่สูงมาก ดังนั้น ในอนาคตกำไรที่ออกมาอาจไม่สามารถเติบโตได้แรงเท่าในอดีต และทำให้เกิดการปรับฐานราคาหุ้นได้
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการเติบโตของกำไรโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ยังมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อ นักลงทุนจึงควรลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะยาว
โดยในพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ที่ลงทุนมากกว่า 1 ปีขึ้นไป นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แบบ Barbell คือ มีน้ำหนักการลงทุน ในหุ้น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่ม Quality Growth ซึ่งเป็นหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูง ที่มีงบดุลแข็งแกร่ง ยอดขายและกำไรมีการเติบโตแบบยั่งยืน เช่น กลุ่มเทคโนโลยี
- กลุ่ม Defensive ที่กำไรมีความทนทานต่อสภาวะตลาดที่ผันผวน เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ที่อาจทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว และ Bond Yield ปรับลดลง