เมือเร็วๆ นี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำจากต่างประเทศ ร่วมกับนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
สำหรับการประชุมแก้ปัญหาการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำจากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาสินค้านำเข้าสู่ตลาดที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำ ในการป้องกันและกำกับดูแลทั้งสินค้าและธุรกิจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายควบคู่กับการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs และ E-Commerce ไทยปรับตัวได้ในโลกการค้ายุคใหม่
“ภูมิธรรม” ประชุม แก้ปัญหานำเข้าสินค้าและบริการไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ
โดยการประชุมครั้งสำคัญนี้มุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพและราคาถูกที่ทะลักเข้ามาจากต่างประเทศ สร้างความเสียหายต่อตลาดและผู้บริโภคไทย โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกยุคใหม่
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้ร่วมกันวางแผนเชิงรุกเพื่อป้องกันและกำกับดูแลสินค้าและธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs และ E-Commerce ไทยให้ปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทายของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นี่คือ ก้าวสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมในตลาด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย และปกป้องผู้บริโภค เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
ภาครัฐมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยอย่างรอบด้าน
นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า "เราได้ติดตามความคืบหน้าของหน่วยงานภาครัฐในการดำเนินการตามมติ ครม. ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบธุรกิจต่างชาติอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การจดทะเบียนการค้า ใบอนุญาต ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานของไทย รวมถึงการตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้าและการชำระภาษี"
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย โดยที่ประชุมได้สรุปมาตรการสำคัญ 5 มาตรการหลัก ประกอบด้วย มาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว รวมทั้งหมด 63 มาตรการย่อย เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย สำหรับ 5 มาตรการหลัก มี ดังนี้
รัฐบาลออกมาตรการเข้มในการบังคับใช้กฎหมายและส่งเสริมการค้า E-Commerce ไทย
เพื่อสร้างความเป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคไทย รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมายและส่งเสริมการค้า E-Commerce อย่างเข้มข้น ดังนี้
-
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด :
- ตรวจเข้มสินค้า ณ ด่านศุลกากร: บูรณาการตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวด ทั้งในส่วนของการสำแดงพิกัดสินค้า การชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ: เพิ่มอัตราการเปิดตู้สินค้า (Full Container Load) และความถี่ในการตรวจสอบของ Cyber Team เพื่อตรวจสอบสินค้ามาตรฐานจำหน่ายออนไลน์
- มาตรการเชิงรุก: ตรวจสอบผู้ประกอบการ/ผู้ให้บริการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และป้องปรามการกระทำอันมีลักษณะเป็นนอมินี โดยให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นคนไทยต้องส่งเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงิน พร้อมกับการขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด
-
ปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย:
- จดทะเบียนนิติบุคคลสำหรับแพลตฟอร์มต่างประเทศ: สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กำลังจัดทำประกาศฯ ให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มต่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามกำหนด “ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยให้มีสำนักงานในไทย” พร้อมให้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคไทย
- เพิ่มรายการสินค้าควบคุม: สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะเร่งเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับ ครอบคลุมรายการสินค้าให้มากที่สุด
-
มาตรการภาษี:
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: กรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงประมวลรัษฎากรสำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่จำหน่ายสินค้าในไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร
อบรมให้ความรู้: กรมการค้าต่างประเทศเตรียมการจัดอบรมให้ความรู้เชิงเทคนิคกับภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
-
มาตรการช่วยเหลือ SMEs ไทย:
- พัฒนาศักยภาพ SMEs: ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทุกหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมพัฒนาชุมชน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นต้น เร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้า และการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคการค้าโลกใหม่
- ส่งเสริมการส่งออก: ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถขยายการส่งออกผ่าน 9 แพลตฟอร์ม E-Commerce พันธมิตรในประเทศเป้าหมาย
-
สร้าง/ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้า:
- ส่งเสริมการค้าผ่าน E-Commerce: สร้าง/ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้า เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อส่งเสริมการค้าผ่านช่องทางตลาด E-Commerce ให้เป็นอีกช่องทางในการผลักดันสินค้าไทยผ่าน E-Commerce ไปตลาดต่างประเทศให้ผู้ประกอบการไทย
- ส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลาง E-Commerce: ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้าสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในระดับภูมิภาค
มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้า E-Commerce ที่เป็นธรรม โปร่งใส และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล
คุ้มครองผู้บริโภคไทย ก้าวทันการค้าโลก
นายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงความห่วงใยของประชาชนและผู้ประกอบการต่อสินค้าจากต่างประเทศที่อาจไม่ได้มาตรฐานหรือผิดกฎหมาย โดย ครม. ได้มอบหมายให้เขาเป็นประธานในการแก้ไขปัญหานี้ และรายงานผลภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 5 มาตรการหลัก ในการดูแลผู้บริโภคไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าโลก โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ เราจะรับฟังข้อกังวลของประชาชน นำไปตรวจสอบและดำเนินการอย่างจริงจัง โดยรายงานผลการดำเนินงานที่ศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานรับรายงานทุกสัปดาห์ และมีการประชุมร่วมกันทุก 2 สัปดาห์ หากพบปัญหาสำคัญ และพร้อมที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการทันที
สินค้าทุกชิ้นที่จะจำหน่ายในประเทศไทยต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน ถูกกฎหมาย ไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เราจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้า หากพบปัญหาอาจเพิ่มความถี่ในการเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อตรวจสอบ และจะมีการทบทวนปรับกฎระเบียบเพิ่มเติม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มที่
มาตรการและแนวทางที่ออกมาจะไม่เป็นการกีดกันทางการค้า แต่จะเป็นไปตามความตกลงทางการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมและธุรกิจทุกฝ่ายอย่างสมดุล และพร้อมสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่ ซึ่งทุกประเทศมีกลไกในการดูแลสินค้าและผู้ประกอบการในประเทศของตนเองเช่นกัน