การที่แม่ทัพ JKN ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN Global Group ประกาศเข้าซื้อกิจการและลิขสิทธิ์เวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งแฟนนางงาม และนักลงทุน ดันราคาหุ้นขึ้นไปกว่า 17% ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่ข่าวการประกาศเพิ่มทุน 3 พันล้านบาท ก็ฉุดราคาสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี
ล่าสุด แอน จักรพงษ์ เผยว่า ธุรกิจมิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe Organization - MUO) ซึ่ง JKN เข้าซื้อด้วยมูลค่า 800 ล้านบาทนั้น ได้ ‘คืนทุน’ เรียบร้อยแล้ว ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังปิดดีล จากการขายสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการประกวดให้ประเทศ ‘เอล ซัลวาดอร์’ มูลค่า 400 ล้านบาท และอีก 2 ประเทศซึ่งเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในปี 2024 และ 2025 สร้างรายได้รวมราว 1,200 ล้านบาทให้กับบริษัท ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนนำแบรนด์มิสยูนิเวิร์สต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์แรกที่จะเริ่มทำตลาดเครื่องดื่ม คาดจะเปิดตัวได้ในไตรมาสแรกปีนี้ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ และยังมีแผนต่อยอดไปเป็นอาหารเสริม โรงแรม รวมถึง ‘เครื่องบินเจ็ทส่วนตัว’ จากการผนึกกำลังร่วมกับกลุ่ม GP Group อาณาจักรธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าของธุรกิจมากมาย อาทิ อาหารเสริม Mega, เดินเรือ. เหมืองแร่, ก่อสร้าง, พลังงาน, โรงแรม รวมถึงเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว Mjets
โดยธุรกิจมิสยูนิเวิร์ส ยังได้ ‘Nishita Shah’ มหาเศรษฐีหญิงลำดับที่ 27 ของไทยที่มีทรัพย์สิน 4.3 หมื่นล้านบาท ทายาทของมหาเศรษฐี Kirit Shah เข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ MUO อีกด้วย โดยปัจจุบัน MUO มีโครงสร้างรายรับ 9 ด้าน อาทิ รายได้จากการขายสิทธิ์การจัดการประกวด Miss Universe ในแต่ละประเทศ (Franchise Fee), รายได้จากการขายสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพการประกวด Miss Universe ในแต่ละปี (Hosting Fee), รายได้จากการรับจ้างผลิตงานประกวด Miss Universe (Production Fee) ฯลฯ
สำหรับประเด็นการเพิ่มทุนที่เดิมมีมูลค่าราว 3,000 ล้านบาทนั้น หลังจากที่ธุรกิจ MUO สร้างรายได้สูงกว่าเป้านั้น บอร์ดของ JKN จึงมีมติปรับแผนการเพิ่มทุนให้สอดคล้องทิศทางดำเนินงานของบริษัท เป็นการเพิ่มทุนราว 1,400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินเพิ่มทุนจาก RO (Rights Offering) จำนวน 1,100 ล้านบาท (510,043,387 หุ้น เปลี่ยนอัตราการใช้สิทธิเป็น 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขาย 3 บาทต่อหุ้น) และจาก PP จำนวน 300 ล้านบาท (66,666,666 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 4.50 บาท) ซึ่งขายให้แก่ บริษัท ยูนิสเตรทช์ จำกัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ GP Group ภายใต้การบริหารงานของ Nishita Shah ดังได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเช้าวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา
ด้านแผนการดำเนินธุรกิจของ JKN ในปี 2566 แอน จักรพงษ์ เผยว่า JKN จะมุ่งสร้างขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็น Global Content Commerce Company เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ภายใต้โครงสร้างการดำเนินงานรองรับแผนยุทธศาสตร์บริษัทฯ จากผู้นำธุรกิจคอนเทนต์ระดับภูมิภาคอาเซียน ก้าวสู่บริษัทชั้นนำระดับ Global Company ด้วยความเชี่ยวชาญจากการบริหารลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์ดังระดับโลก Output Deal ครอบคลุมกลุ่มผู้ชม เพื่อจำหน่ายแก่คู่ค้าในทุกแพลตฟอร์มทั้งในและต่างประเทศ สร้างการเติบโตแก่กลุ่มธุรกิจ Content และมีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจ Content มาต่อยอดสู่ธุรกิจ Commerce ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Wellness Product), ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม (Beverage Product) และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ (Cosmatic) โดยสื่อสารการตลาดและคุณภาพผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง (D2C) ผ่านช่อง JKN18 และ JKN Hi shopping ตลอด 24 ชั่วโมง และจำหน่ายผ่าน Omni Channel และ Social Commerce รวมถึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ JKNCNBC สถานีข่าวเศรษฐกิจตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยส่งเสริมฐานผู้ชมและเรตติ้งของช่อง JKN18 ปรับตัวดีขึ้นสู่เป้าหมาย Top10 ทำให้เพิ่มโอกาสจำหน่ายสินค้าในกลุ่ม Commerce เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ปีนี้จะเป็นปีที่ JKN จะเก็บเกี่ยวรายได้จากการดำเนินงานอย่างเต็มที่จะตั้งเป้าเติบโตถึง 80% หรือมีรายได้เกือบ 4,000 ล้านบาท หลังตอกเสาเข็มวางรากฐานทางธุรกิจทำให้ JKN มี Ecosystem พร้อมผลักดันการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ Global Content Commerce Company” แอน จักรพงษ์ กล่าว
รับชมการแถลงแผนการดำเนินงานของ JKN ได้ ที่นี่