Grab เดินทางจากสตาร์ทอัพเรียกรถแห่งอาเซียน สู่ Super App ที่จดทะเบียนบนกระดาน Nasdaq ของสหรัฐได้สำเร็จ ความท้าทายที่อยู่กับ Grab มาตั้งแต่ช่วงแรกของการทำธุรกิจ คือ ‘การขาดทุน’ ซึ่งในปีนี้บริษัท ตั้งเป้าว่าจะทำให้ผลขาดทุนที่เคยพุ่งไประดับหมื่นล้าน กลายเป็น 0
ล่าสุด ผลประกอบการของ Grab ในไตรมาสแรกของปี 2023 ออกมาแล้ว มีไฮไลต์อะไรน่าสนใจ และความท้าทายที่รออยู่ คือ อะไรบ้าง?
เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมกลายๆ ของบริษัทในแวดวงสตาร์ทอัพ ที่ต้องการสร้างฐานผู้ใช้งานที่แข็งแรงมากกว่าผลกำไร ยอม ‘เผาเงิน’ ของนักลงทุน เพื่อหวังให้บริษัทเติบโต แต่เมื่อบริษัทก้าวสู่ขั้นตอนของการเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว
Anthony Tan ซีอีโอของ Grab ตั้งเป้าให้บริษัทพลิกตัวเลขขาดทุน ให้กลายเป็น ‘เท่าทุน’ ให้ได้ในปีนี้ ก่อนจะเติบโตเป็นกำไรในอนาคต
Grab ได้รายงานตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2023 มีผลประกอบการ ‘ขาดทุนสุทธิ’ ทั้งสิ้น 250 ล้านดอลลาร์ (ราว 8,660 ล้านบาท) ลดลง 43% นับว่าน้อยกว่าตัวเลขขาดทุนของช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุน 435 ล้านดอลลาร์ (15,100 ล้านบาท) โดยในไตรมาสแรกนี้ Grab มีรายได้ทั้งสิ้น 525 ล้านดอลลาร์ (18,200 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 130% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
Grab เปิดเผยว่า ผลประกอบการที่เติบโตขึ้นนั้น มาจากการเติบโตของธุรกิจในทุกเซกเมนต์ การลดค่าตอบแทน และการปรับโมเดลธุรกิจในบางประเทศ จากการเป็นตัวกลางจัดหาบริการเดลิเวอรี่โดยพาร์ทเนอร์-คนขับ ให้แก่ลูกค้า เปลี่ยนเป็น ผู้ให้บริการด้านเดลิเวอรี่แก่ลูกค้า ผ่านการทำสัญญาระยะยาว
Momentum Works บริษัทที่ปรึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจ เผยมุมมองต่อผลประกอบการที่ออกมาของ Grab โดยมีจุดที่น่าสนใจ ดังนี้
หัวเรือใหญ่ของ Grab ประเทศไทย ‘วรฉัตร ลักขณาโรจน์’ เคยให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า “ใน Ecosystem ของเรามีคนอยู่ 4 ส่วน พี่ๆ คนขับ, ลูกค้า, ร้านอาหาร และบริษัท ทั้งสี่คนต้องอยู่ร่วมกันได้แบบพอเหมาะพอดี”
หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ 1 ใน 4 เสา ย่อมส่งผลกระทบต่อเสาอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ในเป้าหมายของ Grab ปีนี้ที่จะ “ลดการขาดทุนให้เหลือ 0” ย่อมส่งผลพวงมายังไรเดอร์ ร้านค้า และลูกค้าด้วยเช่นกัน
นาย วรฉัตร กล่าวว่า Grab ประเทศไทย กำลังมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกับบริษัทแม่ คือ ลดผลการขาดทุนให้เป็น 0 โดยบริษัทจะมุ่งสร้าง Loyalty กับลูกค้าผ่านแพ็คเกจ ‘Grab Unlimited’ ซึ่งเป็นโมเดล Subscription ที่จะให้ลูกค้าจ่ายรายเดือน แลกกับส่วนลดและสิทธิพิเศษ เพื่อหวังสร้างฐานลูกค้าขาประจำ, เจาะตลาดพรีเมียม ที่มีทั้งกำลังซื้อ และความสม่ำเสมอ, เร่งทำตลาด B2B โดยทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ให้บริการด้านเดลิเวอรี่ ส่งคน ส่งอาหาร’ ของบริษัท ใช้การซื้อแบบเหมา แทนการที่บริษัทจะให้พนักงานซื้อเองเป็นรอบๆ หรือต้องมีแมสเซนเจอร์ของตัวเอง
แต่หนึ่งประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อคนหลักหมื่น ไปจนถึงแสนคนที่เป็นพาร์ทเนอร์ของ Grab คือ ‘การลดค่ารอบ’
@spotlightbizth เสียงจากไรเดอร์ #Grab เรื่อง #ลดค่ารอบ กระทบแค่ไหน? #ม็อบไรเดอร์ #แกร็บ #ส่งอาหาร #ฟู้ดเดลิเวอรี่ #ไรเดอร์ #ขับแกร็บ #ปากท้อง #ค่าส่ง #ของแพง #ม็อบ #แกร็บคาร์ #แกร็บฟู้ด #grabcar #grabfood #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ข่าว #Spotlight #ข่าวธุรกิจ #ข่าวtiktok ♬ Suspense, horror, piano and music box - takaya
ก่อนหน้านี้ SPOTLIGHT ได้นำเสนอประเด็น ‘การลดค่ารอบของ Grab ประเทศไทย’ จากทั้งฝั่งบริษัท และฝั่งไรเดอร์ โดยทางฝั่งไรเดอร์นั้น ระบุว่า การลดค่ารอบจาก 40 บาท เป็น 28 บาทนั้น ไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น พร้อมขอให้ Grab หาทางออกเรื่องการประกันภัยจากอุบัติเหตุ จากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเพราะการทำงานของพวกเขา ต้องอยู่ทำงานบนท้องถนนตลอดเวลา
อีกทั้ง ยังมีประเด็นการรับงานแบบ ‘แบตช์ (Batch)’ หรือการรับงานคู่ ในมุมแพลตฟอร์มมองว่า หากมีออเดอร์จากที่ใกล้กัน ไรเดอร์ที่รับงานบริเวณนั้นก็ควรรับไปทั้ง 2 งาน แต่ในมุมไรเดอร์ก็มองว่า การรับงานคู่นั้นมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาหลายอย่าง เช่น ความคุ้มค่าของค่ารอบที่ต้องวิ่งหลายที่มากขึ้น การรอออเดอร์ระหว่างร้านที่นานขึ้น ทำให้ลูกค้ารอนานและได้อาหารที่คุณภาพลดลงตามไปด้วย
ความท้าทายที่ Grab ต้องเร่งหาทางออก จึงไม่ใช่แค่เรื่องการลดต้นทุน สร้างผลกำไร แต่เป็นความพึงพอใจของแต่ละฝ่าย เพราะหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มของ Grab ก็ยังคงเป็น ‘มนุษย์’ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบริษัท ไรเดอร์ ร้านค้า และลูกค้าเองก็ตาม
@spotlightbizth #grab เสนอทางออกเรื่อง #ม็อบไรเดอร์ #แกร็บ #ส่งอาหาร #ฟู้ดเดลิเวอรี่ #ไรเดอร์ #ขับแกร็บ #ปากท้อง #ค่าส่ง #ของแพง #ม็อบ #แกร็บคาร์ #แกร็บฟู้ด #grabcar #grabfood #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ข่าว #Spotlight #ข่าวธุรกิจ #ข่าวtiktok ♬ For movie / picture / action / suspense - G-axis sound music
นอกจากนี้ ปัญหาของ ‘อาชีพแพลตฟอร์ม’ ที่เป็นอาชีพใหม่ ยังต้องการวิธีการคิด การเข้าใจ และการดูแลแบบใหม่ ไม่เพียงแต่จากฝั่งนายจ้างอย่างแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ หรือแพลตฟอร์มเรียกรถ แต่เป็นจากฝั่งของผู้กำกับดูแลอย่าง กระทรวงแรงงานเข้ามาดูและและกำหนดทิศทางให้ชัดเจน เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง ในโลกที่มีอาชีพใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
ที่มา : Grab, Momentum Works