จากเหตุการณ์คดีทุจริตของกรณีหุ้น STARK และเริ่มเห็นการผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อการลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารทางการเงินอื่นๆ
สิ่งสำคัญของนักลงทุนที่ได้มีการเข้าไปลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ ที่มีความหลากหลายประเภท ที่มีรูปแบบตอบแทน และความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไปนั้น
นั่นคือ การติดตามข้อมูลข่าวสารรวมถึงความคืบหน้าการดำเนินการของผู้ออกตราสารนั้นใกล้ชิด มาทบทวนเช็กลิสต์กัน สักนิดว่า หลังจากลงทุนกันไปแล้วควรติดตามอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
-
การลงทุนในหุ้น
– ตราสารที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น “เจ้าของกิจการ”
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
- เมื่อบริษัทไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด ทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถมีข้อมูลผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้
- เมื่อเกิดปัญหาบางประการเกี่ยวกับงบการเงิน จนส่งผลสู่การถูกสั่งทำ “การตรวจสอบแบบพิเศษ” (Special Audit) เพื่อหาข้อเท็จจริงกับประเด็นที่เกิดขึ้น
- เมื่อสถานประกอบการของบริษัทอยู่ในพื้นที่ที่เกิดวิกฤต ด้านการเมือง หรืออื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้การดำเนินการของบริษัทขัดข้องและส่งผลต่อราคาหุ้นได้
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นควรทำ มีดังนี้
- เตรียมรับมือกับผลกระทบจากเหตุการณ์ เช่น อาจขาดทุนจากราคาหุ้นที่ตก หรือได้รับเงินปันผลน้อยลงจากปัจจัยลบที่มากระทบ
- หมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ รวมถึงการขึ้นเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อร่วมซักถามในประเด็นต่าง ๆ ตามที่มีข้อสงสัย
- การลงทุนในหุ้นกู้ – ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น “เจ้าหนี้” รวมถึง หุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเสนอขายผ่าน Funding portal โดยผู้ระดมทุนส่วนใหญ่ ผ่านช่องทางนี้จะเป็นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ถือหุ้นกู้ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
- เมื่อหุ้นกู้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
- เมื่อผู้ออกหุ้นกู้มีผลการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถ ในการชำระหนี้ (มีโอกาสที่จะจ่ายดอกเบี้ยไม่ครบจำนวนหรือมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้)
ผู้ถือหุ้นกู้ควรทำ ได้แก่
- หมั่นตรวจสอบว่า ตนเองถือหุ้นกู้ชนิดใด และได้รับผลกระทบจากการถูกปรับลดอันดับ ความน่าเชื่อถือหรือไม่ หากกรณีผู้ถือหุ้นกู้อาจไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ในทันที หรือไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ในราคาที่พึงพอใจ เนื่องจากขาดสภาพคล่องในการซื้อขาย
- ติดตามข่าวสารในกรณีที่มีข้อสงสัยว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ให้อำนาจกับสำนักงาน ก.ล.ต.ในการสั่งการให้บริษัทคืนเงิน
- ติดตามแผนการแก้ไขเหตุผิดนัดจากผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เมื่อเกิดเหตุผิดนัด
ชำระหนี้ รวมถึงศึกษารายละเอียดก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการประชุมเพื่อขอเลื่อนการชำระหนี้ หรือขอผ่อนผันการชำระ
- ประสานผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จะเป็นบุคคลช่วยติดตามการชำระหนี้ รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายในการบังคับหลักประกันและการฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ มีมติให้ชำระคืนหุ้นกู้โดยพลัน (call default)
-
การลงทุนในกองทุนรวม
– บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) จะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนรวมตามสัดส่วน เช่น หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนมาสู่ผู้ถือหน่วยลงทุน
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
- เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
- เมื่อเกิดความผิดปกติกับผู้ออกตราสารหรือตลาดตราสารที่กองทุนรวมลงทุน
ผู้ถือหน่วยลงทุนควรดำเนินการ ดังนี้
- เตรียมรับมือกับความผันผวนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมที่ถือ
- ศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อจำกัดจากการใช้ Liquidity Management Tools (LMTs)
โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มส่งผ่านต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์ของกองทุนและกลุ่มที่เป็นข้อจำกัดต่อการไถ่ถอนหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ บลจ. จะพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ LMTs เพื่อรักษาประโยชน์
ของผู้ลงทุนโดยรวม และใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น เช่น เกิดความผันผวนของตลาดสินทรัพย์ที่ลงทุน เกิดต้นทุนที่มีนัยสำคัญต่อการซื้อขายสินทรัพย์ของกองทุน หรือเกิดความผิดปกติกับผู้ออกตราสารและกรณีอื่น ๆ ที่จำเป็น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมักมาคู่กับความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรฝึกฝนให้ตนเองหูตากว้างไกล หมั่นอ่านข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รู้จักเฉลียวใจสอบถามข้อมูลที่ควรได้รับเพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม และใช้สิทธิของตนเองเพื่อช่วยลดการสูญเสีย
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)