ประเด็นใหญ่ของวันนี้ คงหนีไม่พ้น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ได้ยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพ เพื่อการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทันทีเมื่อศาลมีมติไม่รับคำฟ้องตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนช่วงบ่ายตลาดหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,451.35 จุด เพิ่มขึ้น 10.89 จุด หรือ +0.76% เมื่อเวลา 14.19 น.จากเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทย ติดลบไป 22 จุด
หุ้นไทย +10.89 จุด หลังมติศาลรธน.ไม่รับคำร้อง 'ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครอง
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด หรือ ASL เผยว่า ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวกลับขึ้นภายหลังได้ปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางการเมืองที่คลี่คลายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ “ไม่รับคำร้อง” ในกรณีนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ในประเด็นล้มล้างการปกครอง
ขณะที่หุ้น DELTA ที่ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคุมการซื้อขาย ทำให้หุ้นไทยปิดอยู่ในแดนลบ เมื่อวานนี้ถึง 22 จุดนั้น ถือว่ายังเป็นปัจจัยลบพอสมควร แต่คิดว่าจะมีความผันผวนที่ลดลง
ส่วนปัจจัยในต่างประเทศนั้น มีความกังวลสถานการณ์รัสเซีย ยูเครน หลังรัสเซียมีการยิงขีปนาวุธตอบโต้ ทำให้ตลาดมีความกังวลว่า สงครามจะลุกลามเพิ่มขึ้น และอุปทานน้ำมันอาจได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อหาทิศทางของอัตราดอกเบี้ย
ล่าสุด ดัชนี้หุ้นไทย (15.45 น.) อยู่ที่ 1,447.01 เพิ่มขึ้น 7.16 จุด หรือ 0.50%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด ระบุว่า ในช่วงนี้อาจเห็นแรงที่สู้กันระหว่าง แรงขาย LTF และ แรงซื้อ THAILAND ESG FUND โดยในส่วนของ LTF พบว่า มี AUM คงค้าง 2.4 แสนล้านบาท เป็นส่วนที่สามารถขายได้ภายใน ปี 2567 จำนวน 1.67 แสนล้านบาท และในปี 2568 ก็สามารถขายได้ ทั้งหมด
ส่วน THAILAND ESG FUND สิ้น ต.ค.67 มีAUM 1.16 หมื่น ล้านบาท แยกเป็นกองหุ้น 7.17 พันล้านบาท แต่ที่น่าสนใจพบว่าช่วง ส.ค.-ต.ค.67 เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นรวม 3.5 พันล้านบาท ถูกแยกเป็นซื้อกอง หุ้น และ ตราสารหนี้อย่างละ 50%
หากประเมินจากสถานะดังกล่าวดูเหมือนว่า แรงซื้อตลาดหุ้นไทยจากสถาบันฯ สุทธิยังดูไม่แข็งแรง แรงหนุนจาก FUND FLOW ทั้งจากสถาบันในประเทศ และ ต่างประเทศ ยัง ไม่แข็งแรง ขณะที่ปัจจัยการเมืองเป็นแรงกดดัน วันนี้คาดกรอบ SET INDEX 1435 –1450 จุด แนะนำลงทุนในหุ้น TOP PICK อย่าง BPP, CPALL (BK:CPALL) และ INTUCH
[ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตา]
สำหรับปัจจัยภายนอก ที่ต้องจับตาและควรรู้บ้าง? เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯบวกเล็กน้อยราว 0.1-1% จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งใน สหรัฐฯ โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก(INITIAL JOBLESS CLAIM) ลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลข คาดการณ์ที่ระดับ 220,000 ราย และยอดขายบ้านมือสอง เดือนต.ค.67 ออกมาสูง ดีกว่าคาด เติบโต +3.4%MOM ดีกว่าคาดที่ +2.9%MOM และ ดีกว่าเดือนก่อนหน้า -1.0%MOM
ขณะที่มองในมุมความเสี่ยงการเกิด RECESSION 1 ปีข้างหน้า จะเห็นได้ว่า BLOOMBERG ปรับลดโอกาสการเกิด RECESSION ของสหรัฐลงเหลือ 25%
ประเด็นดังกล่าว หนุนให้ประธาน FED ในสาขาต่างๆ เริ่มมีมุมมอง HAWKISH มาก ขึ้นในเดือน พ.ย.67 เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือน ต.ค.67 รวมถึงคุณ PAWELL (ประธาน FED)
ส่วนอีก 1 ประเด็น ได้แก่ เรื่องของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (GEOPOLITICAL RISK) ยังคงรุนแรง อย่างต่อเนื่อง หลังมีการตอบโต้กันระหว่างยูเครน-รัสเซีย ซึ่งล่าสุด มีรายงานระบุว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) จากแคว้นอัสตราคันทางตอนใต้ของรัสเซียเพื่อ โจมตียูเครน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลชนิดนี้ (ICBM คือ ขีปนาวุธที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ติดหัวรบนิวเคลียร์)
ประเด็นนี้ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนว่าสงครามจะรุกรามเป็นวงกว้าง ดังนั้น จึง กดดันให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัวขึ้น และดันราคาน้ำมันดิบ BRENT / WTI วานนี้ราว 1.9% และ 1.4% ตามลำดับ
สรุป คาดว่า SET INDEX ในช่วงสั้นคาดถูกกดดันจาก SENTIMENT เชิงลบของ สงคราม และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง หนุน FLOW ไหลออกไปสหรัฐฯ และสิน ทรัยพ์ปลอดภัยอย่าง DOLLAR INDEX โดยวันนี้วางกรอบการเคลื่อนไหวของ SET 1435-1450 จุด