การลงทุนในทองคำเป็นหนึ่งในแนวทางที่นักลงทุนหลายคนเลือกใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ทองคำมีความเป็นที่นิยมเสมอมา ไม่ว่าจะในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเติบโต แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นอีกหรือไม่?
บทความนี้ SPOTLIGHT จะทำการวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำ รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในอนาคต
ราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนอยู่เสมอ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และปัญหาทางการเมือง การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่าราคาทองคำมักจะมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น สงคราม เศรษฐกิจถดถอย หรือการแพร่ระบาดของโรค ในช่วงเวลานี้ นักลงทุนจะหันไปหาทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่อาจมีความไม่แน่นอนมากกว่า
การวิเคราะห์ราคาทองในอนาคตจึงต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตัวอย่างเช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ย และส่งผลต่อความน่าสนใจในการลงทุนทองคำ
ล่าสุด ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้น บริเวณ 2,670 ดอลลาร์ ราคาทองคำโคเม็กซ์สหรัฐปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 26.20 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 2,685.80 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนเริ่มกลับมาซื้อทองคำอีกครั้งหลังจากหยุดซื้อไปเป็นเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
โดยช่วงเช้าราคาทองคำฮ่องกงเปิดตลาดเพิ่มขึ้น 130 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่บริเวณ 24,690 ดอลลาร์ฮ่องกง ขณะที่สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 26.20 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 2,685.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งการกลับมาซื้อทองคำของจีนอาจช่วยสนับสนุนความต้องการของนักลงทุนในประเทศ โดยในปี 2566 จีนเป็นผู้ซื้อทองคำภาครัฐรายใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม การซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งจากธนาคารกลางมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพุ่งสูงขึ้นของราคาทองคำในปีนี้ นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ช่วยหนุนราคาทองคำด้วย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.50% ในเดือนก.ย.ตามมาด้วยการปรับลดลง 0.25% ในเดือนพ.ย.
บรรดานักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 86% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้
ความวุ่นวายในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มกบฏซีเรียเข้ายึดกรุงดามัสกัสหลังจากทำสงครามกลางเมืองมายาวนาน 13 ปี ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดต้องหลบหนีไปยังรัสเซีย
คุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยกับ SPOTLIGHT ว่า “ ราคาทองคำระยะยาวยังไปต่อ แต่ในระยะสั้น ราคาทองคำจะมีความผันผวน ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ หากลงทุนระยะสั้น ให้รอดูไปก่อน เนื่องจากมีกองทุนเข้ามาเก็งกำไร แต่ถ้าลงทุนระยะยาว แนะให้รอซื้อช่วงราคาทองอ่อนตัวที่ระพับ 2,575-2,625 ดอลลาร์ เป็นจังหวะน่าเข้าลงทุน”
เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทำให้สถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจ และนโนบายของสหรัฐฯ ยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งขณะนี้ก็มีธนาคารกลางหลายประเทศทยอยเข้าสะสมทองคำ ไม่ใช่เพียงธนาคารกลางของจีนเท่านั้น ทำให้ระยะสั้นราคาทองคำจะค่อนข้างผันผวน และเชื่อว่าจะมีกองทุนที่เข้ามาเก็งกำไร และมีโอกาสที่จะเข้ามาทุบราคาทองคำได้
จึงมองว่าในช่วงสั้น แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีก ซึ่งมองราคาทองคำตลาดโลกมีโอกาสปรับลดลงไปที่ระดับ 2,625 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ได้ ซึ่งหากราคาหลุดระดับนี้ ก็คาดว่ามีโอกาสปรับลดลงไปได้ถึง 2,575 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
ในระยะสั้นนี้ หากนักลงทุนที่จะเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำว่า ยังไม่ควรลงทุนเพราะมีความเสี่ยง และแนะนำให้รอให้นายทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการก่อน เพื่อจะได้เห็นทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของสงครามการค้า แต่หากจะลงทุนทองคำในระยะยาวนั้น เห็นว่าควรจะเข้ามาทยอยสะสมในราคาทองคำที่อ่อนตัวลงที่ระดับดังกล่าวข้างต้นได้ แต่แนะนำให้ถือระยะยาว
นายกสมาคมค้าทองคำ คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศ มีโอกาสอยู่ที่ระดับ 45,000 บาทต่อบาททองคำได้
ด้าน YLG ชี้ทองคำมีลุ้นไปต่อหลัง ธนาคารกลางจีนกลับเข้าซื้อทองคำรอบ 6 เดือน และคาดการณ์เคลื่อนไหวนี้อาจส่งผลต่อธนาคารกลางอีกหลายประเทศให้เร่งสะสมทองคำรองรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมจับตาสถานการณ์ก่อกบฏในซีเรีย
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดปีหน้าเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนทองคำในประเทศเป้าหมาย 50,000 บาทต่อบาททองคำยังมีลุ้น หากแนวโน้มบาทอ่อนหนุน
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงเดือน พ.ค. 2567 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดการซื้อสะสมทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดีในช่วงที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดทำการสะสมทองคำ จากนั้นราคาทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
จนกระทั่งเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้สลับมาปรับฐานลง ส่งผลให้ PBOC ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไปเป็นเวลา 6 เดือน โดยเข้าซื้อที่จำนวน 1.6 แสนทรอยออนซ์ ส่งผลให้มีทองคำสะสมอยู่ที่ 72.96 ล้านทรอยออนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า PBOC ได้หยุดซื้อเมื่อราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง และกลับมาเข้าซื้อเมื่อราคาเริ่มปรับลดลงมา จึงคาดว่า PBOC ไม่ได้มีนโยบายหยุดซื้อทองคำเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม และนับเป็นการยอมรับในระดับราคาดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเริ่มเข้าสะสมทองคำของธนาคารขนาดใหญ่เช่น จีน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอีกหลายแห่งดำเนินนโยบายตามรอย เนื่องจากการกระทำของ PBOC ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะตอบโต้กลุ่มประเทศที่ต่อต้านเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลให้ประเทศที่ตกเป็นเป้านโยบายต้องทำการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นการที่นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 ทองคำจะยังคงพุ่งไปถึงเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์นั้น จึงยังคงเป็นไปได้แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงก็ตาม
YLG แนะนักลงทุนถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA แอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง
ในปี 2568 มองว่า การลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนอีกหนึ่งประเภทที่เป็นการกระจายความเสี่ยงและเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน
ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยนั้น YLG มองว่าปี 2568 จะมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำตามเดิม เนื่องจากไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จึงตกเป็นประเทศเป้าหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการด้านนโยบายภาษีนำเข้า จึงอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปีหน้าเคลื่อนไหวไปในทิศทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ
สำหรับระยะสั้นอาจจับตาสถานการณ์ความวุ่นวาย จากการก่อกบฏในซีเรียโดย “ฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม” หรือ HTS ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเครือ “อัลกออิดะห์” หลังเปิดฉากจู่โจมอย่างไม่คาดคิดจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย และรุกคืบยึดเมืองสำคัญจนสามารถยึด กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียได้สำเร็จ ส่งผลให้ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ได้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดการปกครองโดย “ตระกูลอัสซาด” ที่มีอำนาจมายาวนานกว่า 50 ปี สถานการณ์ดังกล่าว จึงได้สร้างความกังวลกับหลายประเทศในตะวันออกกลาง และจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดความไร้เสถียรภาพภูมิภาคครั้งใหม่หรือไม่
ทองคำไม่ได้เป็นเพียงแค่โลหะมีค่า แต่ยังมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลกด้วย ประเทศหลายประเทศใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินของตน
เมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น นักลงทุนทั่วไปมักจะหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทองคำจึงถือเป็นเกราะป้องกันสำหรับนักลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น การคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สมาคมค้าทองคำ และ YLG ได้มีมุมมองในทิศทางเดียวกันว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มขาขึ้น และแนะนำให้นักลงทุนสะสมทองคำ
การพิจารณาราคาทองในอนาคตนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ราคาทองอาจพุ่งสูงขึ้นได้ถ้ามีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบ
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าและความน่าสนใจ แม้ว่าแนวโน้มราคาจะผันผวน แต่การเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมตัวสำหรับอนาคตได้ดียิ่งขึ้น การติดตามข่าวสารและวิเคราะห์แนวโน้มราคาจะช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนในทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพ