พายุที่โหมกระหน่ำ พายุเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก รวมทั้งไทย ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ต่างได้รับผลกระทบกันอย่างทั่วหน้า โดยเฉพาะธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์อย่าง บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ที่รู้จักกันในนาม โรงภาพยนตร์เมเจอร์ เมื่อปิดเมือง ปิดประเทศ ห้ามออกจากบ้าน แล้วรายได้เมเจอร์จะมาจากไหน?
ท่ามกลางพายุหนักที่ยาวนานของโควิด-19 ถึง 3 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปลายปี 2562 จนเปิดประเทศในปีนี้นั้น กว่าจะถึงวันนี้
เมเจอร์ต้องปรับตัว ปรับกลยุทธ์ หาแนวทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งลดต้นทุน ปรับกลยุทธ์ด้วยการ มีการดูหนังในรถ Major Drive-in Theater เป็นโรงหนังทีให้อารมณ์เหมือนดูหนังกลางแปลง แต่ดูในรถ และเดินหน้าขายป๊อปคอร์น ในช่องต่างๆ ทั้งออนไลน์ รถคีออส รวมถึงร้านสะดวกซื้อ
ปี 2563 มีรายได้รวม 3,935.43 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 527.49 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 3,365.01 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,581.45 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 6,749.40 ล้านบาท กำไรสุทธิ 252..15 ล้านบาท
6 เดือน ปี 2566 มีรายได้รวม 3,964.95 ล้านบาท กำไรสุทธิ 602.59 ล้านบาท
โดยผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 ที่มีกำไรสูงถึง 602.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306% นั้น หลักๆ มาจากการรับรู้รายการพิเศษจากกำไรในการขายหุ้น บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด(มหาชน) จำนวน 346 ล้านบาท และเป็นกำไรปกติ จำนวน 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166% จ่ากมีภาพยนตร์ต่างประเทศที่ได้รับความนิยมหลายเรื่อง ทำให้มีจำนวนผู้ชมมากขึ้น และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนรายได้จากการขายและบริษัท ในไตรมาส 2/2566 จำนวน 2,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% มาจาก 2 เหตุผล คือ
ด้านนักวิเคราะห์บริษัท หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกบทวิเคราะห์ของหุ้น MAJOR คาดการณ์ว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะมีภาพยนตร์ฮอลิวูดฟอร์มใหญ่ เข้าฉายหลายเรื่อง เช่น Aquaman2, The Flash, The Mavel, Barbie รวมถึง ภาพยนตร์ไทยที่รอฉายจำนวนมาก
ขณะที่ธุรกิจป๊อปคอร์น คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการกลับเข้าไปขายในร้าน 7-Eleven อีกครั้ง ส่วนรายได้จากโฆษณาคาดฟื้นตัวดีตามอุตสาหกรรม ที่คาดว่าผู้ประกอบารจะกลับมาใช้งบมากขึ้นในครึ่งปีหลัง
บล.หยวนต้า คงประมาณการกำไรปกติของปี 2566 ไว้ที่ 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198% ตามการฟื้นตัวของธุรกิจภาพยนต์ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ เริ่มเห็น synergy จากการจับมือร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในการขยายธุรกิจ เช่น การจับมือกับ JKN ผลิตป๊อปคอร์น และเพิ่มช่องทางการขายมากขึ้น รวมถึง การเข้าร่วมกับ BEC และ Workpoint ในการสร้างภาพยนตร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) มีความเห็นจากนักวิเคราะห์ 6 ราย จากทั้งหมด 7 ราย แนะนำซื้อหุ้น MAJOR ซึ่งมีราคาเป้าหมายเฉลี่ย ปี 2566 อยู่ที่ื 20.22 บาท/หุ้นและคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ อยู่ที่ 800.97 ล้านบาท