บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” แบรนด์ยอดนิยมของคนไทย จัดงานเปิดบ้านโรงงานผลิต “มาม่า” ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี ชลบุรี และศรีราชา เพื่อโชว์ศักยภาพการผลิตที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย พร้อมเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
คุณ พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ TFMAMA เปิดเผยว่า มาม่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสัญชาติไทยที่ครองใจคนไทยมายาวนานกว่า 50 ปี ด้วยรสชาติอร่อยถูกปาก ทานง่าย และราคาย่อมเยา แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงในตลาดภายในประเทศ ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มาม่าจึงต้องมองหาตลาดใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า
สำหรับผลิตภัณฑ์ “มาม่า” มีการส่งออก ไปแล้ว 68 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่กว่าในประเทศจึงมีโอกาสในการทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยตลาดที่น่าสนใจได้แก่ จีน เนื่องจากปัจจุบันเทรนด์ผู้บริโภคจีนนิยมอาหารไทยมักจะซื้อเป็นของฝากมากขึ้น และตลาดที่จะขยายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยุโรปและอเมริกา ส่วนตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดียและแอฟริกา
โดยคุณ พันธ์ มองว่า จีนและเวียดนามเป็นสองประเทศที่มีตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเล็งเห็นโอกาสนี้และวางแผนรุกตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายจากต่างประเทศเป็น 20% ของยอดขายรวมภายในปี 2567
คุณ พันธ์ ได้ให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ต้องไปลุย ตลาดจีนและเวียดนาม เพราะว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในจีนและเวียดนามมีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นและกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อหัวของจีนและเวียดนามนั้นสูงกว่าประเทศไทยและมีราคาขายเฉลี่ยของมาม่าในต่างประเทศอยู่ที่ 50 บาทต่อซอง ซึ่งสูงกว่าที่ประเทศไทยถึง 2-3 เท่า
นอกจากศักยภาพการเติบโตของตลาดแล้ว มาม่ายังมีจุดแข็งในด้านรสชาติที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะที่ประเทศจีน จากรสชาติต้มยำกุ้งของมาม่าเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีน เนื่องจากมีรสชาติเผ็ดร้อนตามสไตล์อาหารไทยที่ชาวจีนชื่นชอบทำให้ยอดขายส่งออกของรสชาตินี้ ขายดีถล่มทลาย
ด้วยจุดแข็งในด้านรสชาติและราคาที่ไม่แพงมาก มาม่าจึงมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดไปยังจีนและเวียดนาม โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายจากต่างประเทศเป็น 20% ของยอดขายรวมภายในปี 2567
คุณ พันธ์ อธิบายถึง กลยุทธ์ของมาม่าคือการสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักผ่านแพลตฟอร์ม ต่างๆ เวลาคนต่างประเทศมาเห็น ก็จะเห็นฉากนักแสดงกินมาม่า ทำให้คนดูหรือกลุ่มแฟนคลับดาราในต่างประเทศได้เห็น ก็อยากลิ้มลองรสชาติตามดาราที่ตัวเองชอบ ที่สำคัญมาม่ายังมีไม้เด็ดที่เรียกว่า กลยุทธ์ 3 ขั้น ดังนี้
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้มาม่าประสบความสำเร็จในการรุกตลาดต่างประเทศ โดยยอดขายจากต่างประเทศของมาม่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มียอดขายจากต่างประเทศคิดเป็น 15% ของยอดขายรวม
คุณ พันธ์ เปิดเผยว่า ถึงแม้ยอดขายมาม่าในประเทศในปี 2566 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว โดยลดลงประมาณ 2% สาเหตุมาจากช่วงว่างเว้นของรัฐบาล ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่กำลังการผลิตของมาม่าไม่ได้ลดลง เนื่องจากมาม่ามีหลากหลายรสชาติและมีการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มในโรงงานหลายแห่ง โดยเตรียมแผนการลงทุนอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใหม่
ในปัจจุบันโรงงานผลิต “มาม่า” ของบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001 และ ISO 14001 ในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการผลิตทั้งหมดมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการใช้พลังงานทดแทนอย่างโซลาร์ฟาร์มภายในโรงงาน ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มศึกษาการนำซองมาม่าเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นเม็ดพลาสติก และนำมาผสมกับผงไม้เพื่อนำไปใช้สร้างประโยชน์กลับคืนให้กับชุมชน เป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโต 5-7% จากปีก่อนหน้า โดยมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนการขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% และรายได้ในประเทศจะอยู่ที่ 60-70%
“เรามั่นใจว่าศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งและแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จะช่วยผลักดันให้ TFMAMA เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป” นายพันธ์กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน, โรงงานผลิต "มาม่า" มีทั้งหมด 8 แห่งที่แบ่งอยู่ในประเทศ 5 แห่งและต่างประเทศ 3 แห่ง โดยมีโรงงานผลิตเส้นบะหมี่อยู่ที่อ.ศรีราชา, จ.ชลบุรี 1 แห่ง ซึ่งกำลังการผลิตอยู่ที่ 261.53 ตันต่อวัน และโรงงานในจังหวัดลำพูน 1 แห่ง กำลังการผลิตอยู่ที่ 136.08 ตันต่อวัน รวมถึงโรงงานในจังหวัดระยอง 1 แห่ง ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 94.01 ตันต่อวัน นอกจากนี้, ยังมี 2 โรงงานผลิตเส้นขาวในจังหวัดราชบุรี ที่มีกำลังการผลิตรวม 60.32 ตันต่อวัน และโรงงานผลิตในต่างประเทศ 4 แห่ง ที่อยู่ในเมียนมาร์, กัมพูชา, บังคลาเทศ, และฮังการี โดยมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 16,044 ตันต่อปี.
เมื่อพูดถึงประเภทของผลิตภัณฑ์และความเร็วในการผลิต, โรงงานมีกำลังการผลิตประเภทซองที่มากขึ้นอยู่ที่ 964,320 หีบต่อเดือน, และประเภทถ้วยอยู่ที่ 1,159,498 หีบต่อเดือน นอกจากนี้, มีการผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวอยู่ที่ 193,125 หีบต่อเดือน. ความเร็วในการผลิตของประเภทซองมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 450 ซองต่อนาที, และความเร็วในการผลิตของประเภทถ้วยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 300 ถ้วยต่อนาที.
นอกจากนี้, บริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ "มาม่า" ที่มีหลากหลายรสชาติและรูปแบบต่างๆ และขยายตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลให้บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตในโรงงานหลายแห่ง รวมถึงการปรับปรุงเครื่องจักรเดิมและนำเครื่องจักรใหม่เข้ามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการผลิต. นอกจากนี้, บริษัทยังมีแผนก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพื่อรองรับการขยายตลาดในอนาคต.
สำหรับทิศทางการทำธุรกิจในอนาคต บริษัท ฯ จะมุ่งต่อยอดสู่ Future food โดยจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการของตลาดและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและไม่หยุดนิ่ง
ด้านผลประกอบการคาดว่าในปี 2566 นี้ จะมีอัตราการเติบโตขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 4 % โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะสามารถเติบโตอยู่ที่ 5 – 7 % โดยปัจจุบันสัดส่วนการทำตลาดแบ่งเป็นในประเทศ 70 % และต่างประเทศ 30 % ในอนาคตตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนการทำตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 40 - 50 %
อย่างไรก็ดี บริษัท ฯ ยังมีแผนการสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคได้เห็นมาม่าในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Mama Station หรือ ร้านอาหารมาม่าในห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ซึ่งจะได้เห็นมากขึ้นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป