ปี 2024 นี้นอกเหนือจากมีเหตุการณ์สำคัญอย่าง Bitcoin Halving ที่เกิดขึ้นทุก 4 ปีแล้ว ยังมีการจัดตั้ง Bitcoin ETF ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อีกด้วย แต่ในระบบนิเวศน์ของ Bitcoin ยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องจับตาอีกมากซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ Bitcoin มี Use Case ที่หลากหลายยิ่งไปกว่าการเป็น Store Of Value
Ordinals คือ กลไกที่เราสามารถระบุหมายเลขหรือกำหนดความเป็นตัวตนเฉพาะเจาะจงลงไปในหน่วยย่อยที่สุดของ Bitcoin ที่เรียกว่า Satoshi ได้ จากนั้นก็สามารถใส่สื่ออย่างภาพ เสียง คลิปวีดีโอลงบนบล็อกหรือที่เรียกว่า Inscription ทำให้ Bitcoin มีสถานะเป็น Non Fungible Token เช่นเดียวกับ Ethereum ได้ในที่สุด
สิ่งที่ Ordinals ทำให้ NFT ของ Bitcoin ต่างจากเชนอื่นๆคือสามารถฝังข้อมูลลงบนหน่วยย่อยของ Bitcoin โดยตรงหรือ Native On Chain โดยไม่ต้องพึ่งพา Sidechain ใดๆการที่ NFT ที่มาจาก Ordinals มีความเป็น Decentralized เต็มตัวตามคุณสมบัติของเชน Bitcoin ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับ NFT นั้นๆที่ไม่สามารถจะลบออกไปได้และอยู่ในสถานะที่ไร้การควบคุมดูแลเหมือนกับการถือ Bitcoin
ดังนั้นการมาของ Ordinals อาจทำให้มูลค่าธุรกรรมของ Bitcoin เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 นี้
แม้ว่าคนทั่วโลกที่เข้าถึงอินเทอร์เนตจะเป็นเจ้าของแอ็กเคานต์ในโลกสังคมออนไลน์หรือ Social Media แต่คนส่วนใหญ่อาจประสบปัญหากับการที่แพลตฟอร์มผู้ให้บริการมีอำนาจในการจัดการมากเกินไปทำให้ผู้ใช้งานขาดอิสระภาพ
Nostr ย่อมาจาก Notes and Other Stuff Transmitted by Relays ซึ่งอยู่ภายใต้เชน Bitcoin จะทำหน้าที่เป็น Protocol แบบ Open Source ที่เปิดให้ใครก็ตามสามารถที่จะสร้างแพลตฟอร์ม Social Media ของตัวเองขึ้นได้ แต่จะไม่มีอำนาจในการควบคุมผู้ใช้งานทั้งหมดเหมือนกับแพลตฟอร์มในโลกของ Web2
กล่าวคือแพลตฟอร์มที่สร้างภายใต้ Nostr จะไม่มีโฆษณา ไม่มีการแบนผู้ใช้งาน ไม่มีการแบนเนื้อหา ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ใช้งานจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นในแพลตฟอร์มอย่างเช่นคอนเทนท์ต่างๆอย่างแท้จริง ปัจจุบันนี้ได้มีแอปพลิเคชั่นที่สร้างภายใต้ Nostr แล้วอย่าง astral.ninja ซึ่งคล้ายกับ Twitter และ anigma.io ที่คล้ายกับ Telegram
จริงๆแล้ว Bitcoin Layer2 ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มีการพัฒนามาหลายปีแล้วโดยเฉพาะ Lightning Network ซึ่งเป็นการทำให้ Bitcoin สามารถโอนหรือทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงซึ่งต่างจากเชน Bitcoin แรกเริ่มและอัตราการเติบโตของการใช้งาน Lightning Network เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ยังมีการใช้งาน Bitcoin Layer2 อีกรูปแบบคือความพยายามที่จะเชื่อมโยงเชน Bitcoin เข้ากับเชนอื่นๆที่อยู่ในสายของ Smart Contract หรือใช้กลไกของ Proof Of Stake อย่างเช่นโปรเจกต์ Stacks ที่สามารถสร้าง dApps ต่างๆผ่านเชนของ Bitcoin ได้ หรือ Thorchain ที่เป็น Decentralized Exchange ที่เปิดให้สามารถ Swap เหรียญ Bitcoin กับเชนอื่นๆอย่าง Ethereum ได้ ซึ่งทำให้เป็นที่น่าจับตาพัฒนาการของ Bitcoin Layer2 ว่าจะมีเทคโนโลยีอื่นๆเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ขณะที่ต้องติดตามพัฒนาการสำคัญของ Bitcoin หลังจากเกิด ETF ว่าจะทำให้นักลงทุนสถาบันอื่นๆไม่ว่าจะเป็นพอร์ตลงทุนของบริษัทเอกชนและสถาบันการศึกษากองทุนเพื่อการเกษียน กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติรวมไปถึงการเป็นหนึ่งในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางบางประเทศได้หรือไม่
ต้องถือว่าระยะเวลา 15 ปีของ Bitcoin มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การใช้แทนเงินในธุรกิจใต้ดินจนกลายมาเป็นโปรดักต์การลงทุนที่คนทั้งโลกสามารถลงทุนได้ แต่จะไปถึงการเป็นสกุลเงินใหม่ของโลกได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย