SCB Wealth มองหาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าตัวแทนจากพรรคเดโมแครต จากนโยบายลดภาษีเงินได้บริษัทเอกชน แนะลงทุนหุ้นเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากทั้ง 2 พรรค พร้อมกระจายความเสี่ยงไปสินทรัพย์ต่างประเทศ และทองเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ในช่วงครึ่งปีหลัง การลงทุนมีความท้าทายและความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในอย่างเศรษฐกิจของไทย และปัจจัยภายนอกอย่าง ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ทั้งสินทรัพย์เสี่ยง และสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงกระจายการลงทุนทั่วโลก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ป้องกันความเสี่ยง และรับประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในภาวะดังกล่าว
เพื่อแชร์แนวทางในการลงทุน SCB Wealth ได้จัดการสัมมนา SCB First Investment Outlook 2024 ภายใต้ธีม “Navigating The Investment World With Digital AI” ให้แก่กลุ่มลูกค้า First โดยในความเห็นของ SCB Wealth แนวทางการลงทุนสำหรับครึ่งปีหลังของปี 2567 และปี 2568 มีดังนี้
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา SCB First Investment Outlook 2024 ว่า ตลาดการลงทุนในไทยมีความผันผวนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า เปราะบาง และไม่แน่นอน จากการส่งออกที่เติบโตได้ไม่ดีเท่าการค้าโลก การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนไม่ดีนัก มีเพียงการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
โดยในปีนี้ SCB EIC คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.5% ปรับลดลงจากมุมมองเดิม และคาดปีหน้าเติบโตได้ 2.9% สูงกว่าปีนี้เล็กน้อย แต่ต่ำกว่าในอดีตที่เคยเติบโตปีละ 4-5% โดยหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโต 4-5% เหมือนในอดีต ไทยจำเป็นต้องปรับตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะการส่งออกที่ปัจจุบัน สินค้าส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่โลกไม่ต้องการ ต่างจากประเทศคู่แข่งอื่นที่ปรับตัวเร็วกว่า สามารถเพิ่มสัดส่วนส่งออกสินค้าที่โลกต้องการได้เยอะขึ้น
ขณะที่ ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมในปีนี้ แนวโน้มสดใสกว่าที่เคยมองต้นปี โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ‘สหรัฐฯ’ จากทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเป็นขาลง แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะประเมินว่า เศรษฐกิจโลกระยะถัดไปอาจไม่เติบโตแบบในอดีตที่เคยโต 3-4% โดยอีก 5 ปีข้างหน้าอาจเติบโตเฉลี่ย 2.6% เท่านั้น โดยเฉพาะ ‘จีน’ ที่จะไม่เติบโต 6-7% เหมือนในอดีต เพราะจีนเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยงไปสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และยังมีโอกาสที่น่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะเงินเฟ้อหลายประเทศในโลกเริ่มชะลอตัวลง ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และเป็นผลดีต่อภาวะการลงทุน
โดยหากต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดี อาจต้องกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศ อย่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนในต่างประเทศ ที่มีอายุตราสารเท่ากับของไทย แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าของไทย และมีความหลากหลายของกลุ่มอุตสาหกรรมให้เลือกลงทุนมากกว่า
ทั้งนี้ แม้สินทรัพย์ต่างประเทศทั้งหุ้น และตราสารหนี้ในต่างประเทศจะมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ไทย ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงมากมายทั้ง การแบ่งขั้วทางการค้า (decoupling) ที่จะนำไปสู่การกีดกันการค้าต่างขั้วและการหันมาเน้นผลิตสินค้าเองภายในประเทศ ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ สังคมผู้สูงอายุในโลกจะทำให้มีจำนวนแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
SCB มองว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน และจะไม่ได้เปลี่ยนทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาทางใดก็ตาม เพราะเป้าหมายนโยบายของทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตคล้ายกัน คือ เป็นมิตรกับจีนน้อยลง แต่ด้วยวิธีการดำเนินนโยบายแตกต่างกัน
แต่หาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง SCB มองว่า นโยบายเศรษฐกิจการค้าโลกจะยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เพราะทรัมป์จะดำเนินนโนบายสุดโต่งกว่า ทำให้ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับจีนก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น ขณะที่บทบาทการเป็นพันธมิตรสงครามอาจไม่มากเท่ากับตัวแทนจากพรรคเดโมแครตโดยจะเน้นสนใจประเทศตนเองก่อน ขณะที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวของโลกก็อาจจะล่าช้าออกไป เนื่องจากทรัมป์ ไม่ได้สนับสนุนด้านนี้
ดังนั้น SCB จึงมองว่า ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนต้องอาศัยการจับจังหวะเวลาลงทุน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจผันผวนมากเป็นพิเศษ โดยมีแนวโน้มแข็งค่า จากการที่นักลงทุนมุ่งหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับความต้องการลงทุนทองคำที่จะสูงขึ้น
ทั้งนี้ หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดี นโยบายปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคงภาษีเงินได้นิติบุคคลจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้มากกว่าตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เนื่องจากนโยบายดังกล่าวจะทำให้การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แตกต่างจากตัวแทนจากพรรคเดโมแครตที่จะปรับเพิ่มอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีรายได้สูง และภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับ ‘หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี’ SCB มองว่า ทั้งทรัมป์และตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะยังสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับ AI เพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยรูปแบบที่ต่างกัน โดยทรัมป์มีแนวโน้มให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีมากกว่าการใช้งบประมาณภาครัฐ มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน ส่วนตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะยังให้เงินทุนสนับสนุนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับภูมิภาคใน 14 รัฐ เพื่อเร่งการเติบโตของนวัตกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด ชีวเทคโนโลยี และ AI
นโยบายที่หนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของทั้งสองพรรค ทำให้หุ้นเทคโนโลยีเป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์ไม่ว่าตัวแทนจากพรรคใดจะชนะและได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป และค่อนข้างปลอดภัย
โดย SCB มองว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่น่าสนใจลงทุนอยู่ในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น TSMC, ARM Holding, SK Hynik, Microsoft, Google, Palo Alto Network และ CrowdStrike ซึ่งการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ผู้ลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้สูง และอาจจะต้องถือหุ้นค่อนข้างยาว เพราะส่วนใหญ่หุ้นเหล่านี้ราคาปรับขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง
ในความเห็นของ ดร.ชาลี อัศวธีระธรรม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ในกลุ่มบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI 5 บริษัทที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่
SCB Wealth มองว่า หากต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนต้องกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศ โดยสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางถึงสูง SCB แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุน โดยแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน
1. ส่วนแรก คือ พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนมากกว่า 50% ขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่
2. ส่วนที่สอง คือ การลงทุนบนพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้นน้อยกว่า 1 ปี รับปัจจัยบวกระยะสั้นของตลาดนั้นๆ และยังมี Valuation ไม่แพง ได้แก่