ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังพัดผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย! "อัสสเดช คงสิริ" กรรมการและผู้จัดการคนที่ 14 ประกาศวิสัยทัศน์ "ตลาดทุนเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" พร้อมขับเคลื่อนตลาดทุนไทยสู่ยุคใหม่ ด้วย 5 หลักการสำคัญ มุ่งสร้างความเป็นธรรม เพิ่มโอกาสเข้าถึง ยกระดับด้วยนวัตกรรม มุ่งสู่ความยั่งยืน และเสริมสร้างความเชื่อมั่น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้า ภายใต้การนำทัพของ "อัสสเดช คงสิริ" กรรมการและผู้จัดการคนที่ 14 ซึ่งมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ "ตลาดทุนเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ และคาดว่าจะประกาศรายละเอียดอย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ในการบริหารงาน ในโอกาสเข้าร่วมงาน "Meet the Press ทำความรู้จักกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนที่ 14" โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดทุนไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบแนวคิด "ตลาดทุนเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" ซึ่งประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
นอกจากนี้ นายอัสสเดช ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสาร และการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่าย แก่นักลงทุน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และลดความเสี่ยงในการลงทุน
คุณอัสสเดช ให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในทุกมิติ พร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา หัวใจสำคัญของแผนงานนี้ คือ "ตลาดทุนเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" โดยยึดหลักการ 5 ประการ ดังนี้
คุณอัสสเดช เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการอย่างรวดเร็วและรัดกุม เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทย
คุณอัสสเดช คงสิริ ตระหนักถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในตลาดทุนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำระหว่างนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และผู้ใช้โปรแกรมเทรดอัตโนมัติ (Robot Trade) ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจ และจำเป็นต้องหาทางออกร่วมกัน เพื่อสร้างสมดุลและความเป็นธรรม
คุณอัสสเดช เน้นย้ำว่า ตลาดทุนเป็นของทุกคน และทุกคนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุน โดยจะมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาพฤติกรรมของนักลงทุน เพื่อจำแนกพฤติกรรมที่ส่งผลดีและไม่ดีต่อตลาดทุน และพร้อมที่จะออกมาตรการหรือแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่น
"ผมพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และเชื่อมั่นว่าทุกคนมีเจตนาดี ต้องการเห็นตลาดทุนไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและประเทศชาติ" คุณอัสสเดชกล่าว
คุณอัสสเดช เผยแผนยุทธศาสตร์ ที่จะผลักดันให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็น "Listing Hub" หรือศูนย์กลางการระดมทุนของบริษัทชั้นนำในภูมิภาค โดยจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์จุดแข็งของตลาดทุนไทย และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อดึงดูดบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ให้เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งความสำเร็จนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน
นอกจากนี้ ยังมีแผนงานที่จะส่งเสริมและยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย โดยพัฒนาโปรแกรม เพื่อสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ มีการพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Up) และเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร เช่น อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ผ่านการบริหารงบดุล (Balance Sheet) ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน คุณอัสสเดช กล่าวถึงแนวคิดในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Option) สำหรับทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนในปัจจุบัน
คุณอัสสเดช ยังได้กล่าวถึงปัจจัยสนับสนุน ที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น ต่อแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เสถียรภาพทางการเมือง และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG และกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเชิงบวก ต่อพัฒนาการของตลาดทุนไทยในอนาคต
วิสัยทัศน์ของ "อัสสเดช คงสิริ" ในการสร้าง "ตลาดทุนเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การมุ่งเน้น 5 หลักการ ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรม การมีส่วนร่วม นวัตกรรม ความยั่งยืน และความน่าเชื่อถือ ล้วนเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างตลาดทุนที่แข็งแกร่ง เป็นธรรม และเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์นี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนักลงทุน บริษัทจดทะเบียน ภาครัฐ และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุนไทย ให้ก้าวสู่การเป็น "Listing Hub" และศูนย์กลางการลงทุนแห่งภูมิภาค ในอนาคต
คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ภายใต้การนำของ "อัสสเดช คงสิริ" ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะสามารถพลิกโฉม และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตลาดทุนไทยได้สำเร็จหรือไม่
ทั้งนี้ แผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568-2570) อยู่ระหว่างการจัดทำ และคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการได้ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567