ช่วงนี้ตลาดหุ้นเหมือนรถไฟเหาะเลยใช่ไหมครับ ตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday ที่ตลาดทั่วโลกร่วงกราวแล้วก็เด้งกลับขึ้นมาเร็วมาก เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไหนจะตลาดหุ้นจีนที่เด้งขึ้นลงหลังจากรัฐบาลจีนออกมาตรการชนิดที่เรียกว่าอัดยาแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ ปัจจัยที่เกิดขึ้นในจุดต่างๆ ของโลก กระทบต่อเนื่องกันมาสู้ตลาดหุ้นโลกอย่างไม่หยุดนิ่งเลย จริงไหมครับ
ใครที่เคยลงทุนในตลาดหุ้นมานานๆ แล้วคงจะเคยชินกับความผันผวน และอย่างผมเองอยู่ในตลาดหุ้นเป็นเวลานานกว่าปี 20 ปี ก็จะเจอเหตุการณ์ที่อยู่ๆ ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ หรือบางครั้งกระชากลงรวดเร็วมาก ต้องบอกว่าเป็นปกติของตลาดหุ้นกับความผันผวนที่ถือเป็นของคู่กัน บางทีนักลงทุนใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน หรืออาจจะเพิ่งเริ่มลงทุน อาจจะตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ๆ อย่างใครที่กำลังลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ พอเกิดเหตุการณ์ Black Monday ครั้งล่าสุดนี้ ตลาดหุ้นนิเคอิร่วง 12% ในวันเดียว อาจจะตกใจและกังวลว่าจะจัดการอย่างไรดี
หรืออย่างประเทศไทยเอง หากจำกันได้ในช่วงที่โควิดระบาดใหม่ๆ ตลาดหุ้นโลกร่วงกราว ตลาดหุ้นไทยก็หนีไม่พ้น จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องประกาศใช้มาตรการ Circuit Breaker ถึง 3 วันติด เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาพิจารณาข่าวสารและตัดสินใจให้ดีก่อน อย่าเพิ่งรีบขายหุ้นตามอารมณ์หวาดกละว เรียกว่ามีช่วงเวลาให้ได้หายใจหายคอ หลังตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาราว 10% ได้ในช่วงนั้น
ผมเข้าใจดีว่านักลงทุนมือใหม่หลายคนที่อาจจะยังมีจิตใจหวั่นไหวกับภาวะที่สุดผันผวนเช่นนี้ จนตัดสินใจขายหุ้นออกไปก่อน เพราะกลัวว่าหากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปอีก พอร์ตจะยิ่งติดลบหนัก ซึ่งหลายครั้งเมื่อเราตัดสินใจขายขาดทุนไป ตลาดหุ้นก็กลับตัว พลิกมาเป็นบวก เขียวแสกหน้ามาเสียอย่างนั้น พอร์ตที่อยากให้เติบโตก็ไปได้ไม่ถึงไหนเสียที
วันนี้ผมมีเคล็ดล้บสำหรับนักลงทุนที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวมาฝาก เป็น 3 เคล็ดลับที่นักลงทุนควรทำเพื่อให้พอร์ตแข็งแกร่ง ทนทุกสภาวะการณ์ได้ มีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ
ก็อย่างแรกง่ายๆ เลยครับ นั่นคือการมีพอร์ตที่ทนทานในทุกสภาวะการณ์ ซึ่งในที่นี้ผมก็แนะนำเลยว่า ง่ายที่สุดคือการจัดพอร์ต Core & Satellite ที่จะช่วยกระจายความเสี่ยง ด้วยการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมีเสถียรภาพ โดยกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์เหล่านี้ให้มีน้ำหนัก 80% ของพอร์ต เรียกว่าเป็นพอร์ตหลัก (Core Port) แล้วอีก 20% คือสัดส่วนของ Satellite Port คุณสามารถเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมาใส่ในพอน์ตนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบที่สูงขึ้นได้ ทั้งหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เติบโต เช่นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มพลังงานสะอาดใหม่ ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ใหม่ๆ ที่เติบโตไปในอนาคต รวมถึงหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เพื่อเพิ่ม Growth ให้กับพอร์ตของเราในสัดส่วนที่เหมาะสม
เมื่อเรามีทรัพย์สินที่ดี มีหลักการลงทุนที่ถูกต้องและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมแล้ว เคล็ดลับลำดับถัดมา ก็คือการทำหน้าที่คอยทำงานหาเงินเพิ่มมาเติมพอร์ตหรือ DCA ไปเรื่อยๆ นะครับ เพราะการที่เราเพิ่มทุนไปทุกๆ เดือน จะเป็นการสะสมเงินต้นไปในตัว ปลายทางทรัพย์สินสุทธิที่เราสะสมมา เมื่อบวกกับผลตอบแทนเฉลี่ยที่งอกเงย โดยเฉพาะเมื่อเราลงทุนได้ในช่วงที่ราคาหุ้นถูกๆ ด้วย แล้ว คุณจะพบว่าสุดท้ายความอุตสาหะของคุณไม่เสียเปล่า เพราะพอร์ตที่ DCA มาตลอดจะช่วยทำให้สินทรัพย์สุทธิของคุณงอกเงยได้อย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับพอร์ตที่ไม่ DCA และจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
นอกจากการมุ่งเน้นวินัยและความสม่ำเสมอแล้ว เคล็ดลับที่คุณควรทำเป็นอันดับที่ 3 ก็คือการเน้นทำความเข้าใจ หรือเรื่องของ mindset นั่นเอง เพราะหนึ่งในหลักการลงทุนที่ผมได้ย้ำเสมอ ในการสร้างความเข้าใจหลักการลงทุนระยะยาวก็คือ “สติ” เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจในภาวะตลาดแตก และสามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนนั้นๆ ไปได้
ในเมื่อแผนการลงทุนของเราจัดไว้อย่างดีแล้ว และเรามีการ DCA ไปเรื่อยๆ การมี mindset การลงทุนที่ดีนี่เองที่จะช่วยให้คุณผ่านตลาดหุ้นที่ตกรุนแรงไปได้อย่างไม่ต้องรู้สึกกลัวหรือกังวลแต่อย่างใดเลย เพราะความเข้าใจตลาดจะช่วยให้คุณสามารถข้ามผ่านความกลัวไปได้ และในทางกลับกันคุณอาจจะเห็นโอกาสในตลาดหุ้นขาลงแทนก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นจากเดิมที่คุณเคยตั้งเป้าที่จะ DCA เดือนละ 10,000 บาท เมื่อตลาดหุ้นตกคุณลองตัดสินใจเพิ่มวงเงิน DCA เป็น 20,000 บาท และเมื่อตลาดหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้น คุณก็สามารถกลับมาใส่เงินด้วยยอดเท่าเดิมได้ เพราะอย่างไรก็ตามคุณควรเติมเงินใส่พอร์ตทุกเดือนอยู่แล้ว
นี่ก็เป็น 3 เคล็ดลับที่แนะนำสำหรับนักลงทุนทุกคนให้ข้ามผ่านตลาดขาลงไปได้ และคุณก็จะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวมาสร้างพอร์ตให้เติบโต แข็งแกร่งไปด้วยกันนะครับ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด