ในปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยได้ดีดขึ้นจากจุดต่ำสุดลงไปต่ำกว่า 1,300 จุด ขึ้นมาเป็น1,500 จุด ทำให้หลายๆคนได้ตั้งคำถามว่า อนาคตของตลาดหุ้นไทยจะเป็นขาขึ้นจริงหรือไม่?และระหว่างการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ มีปัจจัยอะไรที่นักลงทุนควรจับตาดูอย่างใกล้ชิดบ้าง?
SPOTLIGHT ร่วมกับ Amarin Academy จัดงานเสวนา "ปรับพอร์ตลงทุน รับหุ้นขาขึ้น"ภายในงานบ้านและสวนแฟร์ Living Festival 2024 โดยมี 2 กูรูด้านการลงทุน คุณแบงก์-ชยนนท์ รักกาญจนันท์ Head Coach และ Co-Founder FINNOMENA และ คุณพัลลภ อัศววงศ์ไพศาล ผู้อำนวยการฝ่าย Private Wealth Advisory บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)
ซึ่งทั้ง 2 ท่านมีแนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนที่ตรงกันว่า การลงทุนในต่างประเทศมีโอกาสเติบโตมากกว่าและปัจจุบันสามารถลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยได้ เพราะมีผลิตภัณฑ์การลงทุนทางเลือกอย่าง DR และ DRx มาช่วยตอบโจทย์การลงทุนต่างประเทศในอีกรูปแบบนึง
คุณแบงก์-ชยนนท์ รักกาญจนันท์ Head Coach และ Co-Founder FINNOMENA แนะนำนักลงทุนว่า หากเราคิดจะลงทุนอะไร หรือซื้อหุ้นอะไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนควรจะทำมากที่สุดคือ ต้องลิสอันดับตลาดหุ้นที่บริษัทจดทะเบียนมีกำไรมากที่สุดในโลกให้ได้ก่อน โดยจากข้อมูลพบว่าในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐฯมีการเติบโตดีที่สุดเป็นอันดับ 1 ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่อันดับ 8จากการประเมินทั้งหมด 8 ตลาด ดังนี้
สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ไม่ค่อยน่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา คุณแบงค์ มองว่า ต้องดูที่การเตบโตทางเศรษฐกิจไทยด้วย ภาพรวม GDP ไทยยังเต็มไปด้วยความท้าทายอยู่มาก เช่น ภาคการส่งออก แม้อัตราการเติบโตยจะยังเป็นบวกแต่ยังได้รับผลกระทบจากพิษเงินบาทแข็งค่ามากถึง 10% ในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ขณะที่การบริโภคก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่แม้จะมีนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทจากรัฐบาล รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงเกิน 85% ต่อ GDP นอกจากนี้ การลงทุนจากรัฐบาล งบประมาณยังล่าช้าทำให้มีคำถามว่า ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นหรือไม่
ดังนั้น หากหุ้นไทยจะไปถึง 1,500 จุดได้ก็ต่อเมื่อมีตัวเร่งใหม่ๆ เช่น ทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนที่จะมีความชัดเจน หรือ การขจัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างแบงค์ชาติและกระทรวงการคลัง ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน
ส่วนมุมมองของคุณพัลลภ อัศววงศ์ไพศาล ผู้อำนวยการฝ่าย Private Wealth Advisory บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำถึงสัญญาณของการปรับพอร์ตที่นักลงทุนควรรู้คือ
คาดการณ์กำไร 3Q67 โดย Bloomberg Consensus ของบริษัทจดทะเบียนใน SET มีทั้งสิ้น 123 บริษัท คิดเป็น 77%Market Cap คาดกำไรสุทธิ 87 แสนล้านบาท หดตัว -12%QoQ และ -14%YoY ฉุดจากกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ
หากหัก 2 กลุ่มข้างต้น (SET ex.ENERG & PETRO) กำไรจะขยายตัว 1%QoQ และ 19%YoY โดยกลุ่มที่ขยายตัวได้ทั้ง QoQ และ YoY มีหลายกลุ่ม อาทิ เกษตรและอาหาร ICT รับเหมาฯ โรงพยาบาลและกลุ่มอสังหาฯ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Domestic Play
1. Earnings Momentum เด่นงบ 3Q67 เติบโต มีโอกาสดีตัวต่อใน 4Q67
หุ้นที่โดดเด่น : MTC SAK TASCO CPALL BJC TRUE และ BEM
2. Earnings Positive Surprise แนะนำซื้อหุ้นที่เรามีการคาดงบ 3Q67 มีโอกาสที่จะทำได้ดีกว่า Consensus
หุ้นที่โดดเด่น : CPF CHG
3. Earnings Recovery (ทยอยสะสม) หุ้นที่งบ 3Q67 คาดผลประกอบการเป็นจุดต่ำสุดของปี แต่แนวโน้มกำไร 4Q67 และปี 2568
หุ้นที่โดดเด่น : AOT CENTEL HMPRO
คุณแบงค์ ได้แสดงข้อมูลว่า หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักปรับตัวขึ้น และโดดเด่นกว่าปีที่ไม่เลือกตั้งโดยนับตั้งแต่ปี 1950 หลังการเลือกตั้ง หุ้นของสหรัฐฯจะเป็นบวก และสำหรับการเลือกตั้งในปี 2024 หุ้นสหรัฐฯก็ปรับตัวขึ้นมาแล้ว เพราะมีการคาดหวังว่า “โดนัล ทรัมป์” จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47
และนโนบายของทรัมป์จะทำให้บริษัทจดทะเบียนและภาคธุรกิจได้ประโยชน์ จากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่คงไว้ 21% แต่สิ่งที่ต้องจับตาจากนโยบายของทรัมป์ คือการค้าโลกที่จะได้รับผลกระทบ จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อสูงในสหรัฐฯ ส่งผลให้ FED มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์
ขณะที่ในฝั่งของ “กมลา แฮร์ริส” มีนโยบายในการขึ้นภาษีนิติบุคคล โดยระยะสั้นอาจะส่งผลให้หุ้นปรับตัวลง 4-5% แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาว ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นประธานธิบดีหุ้นสหรัฐก็ยังไม่โอกาสที่จะปรับขึ้น
คุณแบงค์ แนะนำสัดส่วนการลงทุน หุ้นในต่างประเทศ สหรัฐฯ 40% การเลือกลงทุนแบบ DRx 20% หุ้นจีนไม่เกิน 20% และหุ้นไทยไม่เกิน 20% ซึ่งหุ้น 7 นางฟ้า คือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
หุ้นเจ็ดนางฟ้า หรือ Magnificent Seven คือ กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี มีอิทธิพลขับเคลื่อนอุปสงค์ของผู้บริโภค และการเติบโตของธุรกิจ โดดเด่นด้วยความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด ประกอบไปด้วย 7 บริษัท ได้แก่
DR และ DRx คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ด้วยกันทั้งคู่ แต่ความต่างจะอยู่ที่จำนวนเงินในการลงทุน โดยการลงทุนใน DR เราจะต้องซื้อขั้นต่ำจำนวน 1 หุ้น ส่วน DRx เราสามารถลงทุนเป็นเศษหุ้น ที่ 0.0001 หน่วยได้ โดยไม่ต้องซื้อหุ้นเต็มจำนวน
โดยปัจจุบันมีหลักทรัพย์ DR 44 หลักทรัพย์ และ DRx 13 หลักทรัพย์ ซึ่งทั้ง DR และ DRx ถือเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในต่างประเทศ เพราะเราสามารถทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างสะดวกด้วยเงินบาท โดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ หรือแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ทำให้การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและรวดเร็ว และช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้มากขึ้น
NDX01
หน่วยลงทุนกองทุน CHINAAMC NASDAQ 100 ETF (3086.HK)
SP50001
หน่วยลงทุนกองทุน HANG SENG S&P 500 INDEX ETF (3195.HK)
FERRARI80
หุ้น FERRARI N.V. (RACE.MI)
HERMES80
หุ้น HERMES INTERNATIONAL SCA (HRMS.PS)
BABA80
หุ้น ALIBABA GROUP HOLDING LTD. (9988.HK)
BIDU80
หุ้น BAIDU, INC. (9888.HK)
BYDCOM80
หุ้น BYD COMPANY LTD. (H SHARES) (1211.HK)
สุดท้ายคือ คุณแบงค์ยังคงมองว่า "ทอง" กลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีมากกว่าที่สุดใน 2023 และมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆในปี 2024 จากปัจจัยทั้งสงคราม ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังหนุนราคาทองคำ โดยคาดว่าภายในครึ่งปีหน้า ราคาทองอาจพุ่งไปที่ 3,000-3,200 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 50,000 บาทต่อบาททองคำ