ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2567 ของ Tesla พบว่า รายได้ อยู่ที่ 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 923,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการขายรถยนต์อยู่ที่ 19,878 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 719,600 ล้านบาท ลดลง -7%
ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทลดลงฮวบมากถึง -45.32% เหลือเพียง 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 53,500 ล้านบาท จากยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ลดลง -5% เหลือเพียง 443,956 คัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการผลิตที่ลดลงมากถึง -14% เหลือเพียง 410,831 คัน เท่านั้น โดยเฉพาะ Model 3 และ Y ที่ยอดการผลิตลดลงสูงถึง -16% แม้รุ่นอื่นจะผลิตเพิ่มขึ้น 24% ก็ตาม
ทิศทางของผลประกอบการของ Tesla ที่ประกาศออกมา ได้สอดคล้องกับข้อมูลจากบริษัทวิจัย Cox Automotive ที่เผยว่า Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตรายอื่นได้เพิ่มการผลิตโมเดลรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในสหรัฐฯ ก็ลดลงในไตรมาสที่ 2/2567 เหลือต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก ในขณะที่ Ford Motor มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้เกือบ 24,000 คัน ซึ่งน้อยกว่า Tesla มาก แต่กลับเพิ่มขึ้น 61% จากปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ The New York Times รายงานว่า ยอดขายที่ตกต่ำของ Tesla ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนการเมืองฝ่ายขวา หรือฝั่ง ‘โดนัล ทรัมป์’ ซึ่งลูกค้าและแฟนพันธุ์แท้ของ Tesla ในช่วงแรกๆ มีทั้งกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคที่เอนเอียงไปการเมืองฝั่งซ้าย และหลายคนเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย ทำให้ยอดการจดทะเบียน Tesla ใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนียลดลง 24% ในไตรมาสที่ 2/2567
อย่างไรก็ตาม มัสก์มองว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ราคาไม่แพง ที่ผลิตโดยแบรนด์อื่น มีส่วนทำให้ Tesla ขายรถยนต์ได้ยากขึ้น ซึ่งบริษัทยืนหยัดชูจุดเด่น ‘Full-Self Driving’ ระบบขับขี่อัตโนมัติของ Tesla ในเชิงรุกมากขึ้น ที่สามารถเปลี่ยนเลน เร่งความเร็ว และเบรกได้ด้วยตัวเอง แต่ผู้ขับขี่จะต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงเมื่อใดก็ตามหากโปรแกรมผิดพลาด
นอกจากนี้ มัสก์ยังลดราคารถยนต์ในช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้กำไรที่ได้จากรถยนต์แต่ละคันที่ขายลดลง แม้การปรับลดราคาช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่ก็ตามมาด้วยการเลิกจ้างพนักงานมากกว่า 10% หรือประมาณ 14,000 คนทั่วโลก ซึ่งพนักงาน 2,000 คนที่ถูกปลด มาจากโรงงานในเมืองฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และอีกเกือบ 2,700 คนในโรงงานในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เพื่อเป็นการลดต้นทุนนั่นเอง
Thomas Monterio นักวิเคราะห์อาวุโสของ Investing.com มองว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็น คือ ‘ผลงาน’ ที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับแผนการเปิดตัวของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์และแท็กซี่ไร้คนขับ ซึ่งมัสก์ได้เลื่อนการเปิดตัวแบบรถแท็กซี่ไร้คนขับไปเป็นเดือนตุลาคมอย่างเป็นทางการ จากเดิมที่เลื่อนมาต้นเดือนสิงหาคมแล้วก็ตาม
โดยมัสก์ประกาศในการประชุมทางโทรศัพท์ว่า โปรเจ็กต์รถแท็กซี่ไร้คนขับมีความจำเป็นต้องเลื่อนการเปิดตัว และอ้างว่าโปรเจ็กต์จะเปลี่ยนรถยนต์ Tesla ทั้งหมดให้เป็น ‘กองเรือขับเคลื่อนอัตโนมัติขนาดยักษ์’ ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทประเมินมูลค่าได้สูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6 เท่าของมูลค่าตลาดในปัจจุบัน
มัสก์ได้มุ่งเน้นไปที่งานพัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับโปรเจ็กต์นี้ มากกว่าการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพงที่รอคอยมานาน หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการในชื่อ ‘Model 2’ โดยมีราคาอยู่ที่ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เขาได้ร่างแผนสำหรับเครือข่ายยานยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบในปี 2016 โดยกล่าวว่า นวัตกรรมจะช่วยให้เจ้าของ Tesla สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของยานพาหนะของตนได้
นอกจากนี้ มัสก์ยังเพิ่มความมุ่งมั่นของ Tesla ในการพัฒนา Optimus ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เขากล่าวว่า หุ่นยนต์ Optimus กำลังทำงานในโรงงานของ Tesla แล้ว และจะเริ่มการผลิตอย่างจำกัดในปีหน้า และคาดว่าจะผลิตหุ่นยนต์สำหรับผู้บริโภคในปี 2026
ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังกับการเปิดตัวแท็กซ่ไร้คนขับเป็นอย่างมาก หลังจากที่ หุ้นของ Tesla พุ่งขึ้น 40% นับตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากนักลงทุนต่างเดิมพันว่า มัสก์จะนำ Tesla กลับมาเป็นบริษัท AI ที่ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ และจำหน่ายหุ่นยนต์สำหรับการผลิตและงานอื่นๆ ได้สำเร็จ
แต่ยังไม่ชัดเจนว่าธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ของ Tesla จะเติบโตเร็วพอ ที่จะชดเชยยอดขายรถยนต์ที่ลดลงของได้หรือไม่ เนื่องจากบริษัทหลายแห่ง รวมถึงบริษัทแม่ของ Google ได้พัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับมาหลายปีแล้ว แต่ให้บริการเรียกรถได้เฉพาะในบางเมืองเท่านั้น
ทั้งนี้ หุ้นของ Tesla ปิดตลาดที่ 246.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 2.04% และมูลค่าตลาดที่ 785.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตกไปอยู่อันดับที่ 11 ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซึ่งหุ้นของ Tesla ลดลง 8% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และมูลค่าตลาดลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2021
ที่มา New York Times, Financial Times, Tesla