รายงานความมั่งคั่งทั่วโลกประจำปี 2567 : UBS Global Wealth โดยธนาคารยูบีเอส ระบุว่า จำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลก ที่มีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,800 ล้านบาท มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า
โดยแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ที่มีขนาดเล็ก และเขตเศรษฐกิจใหม่ มีอัตราการเติบโตสูงเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศแถบทวีปเอเชีย ซึ่งติดอันดับถึง 5 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไต้หวัน อินโดนิเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยกเว้นสหราชอาณาจักรที่มหาเศรษฐีอาจมีจำนวนลดลง ในอีก 5 ปีข้างหน้า
10 อันดับ ประเทศ ที่คาดว่าจำนวน ‘มหาเศรษฐี’ จะเพิ่มขึ้นอีก 5 ปีข้างหน้า
( ซึ่งเป็นการคาดการณ์ในช่วงปี 2566-2571)
1.ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 47%
จากมหาเศรษฐี 788,799 คน เป็น 1,158,239 คน
2.ตุรกี เพิ่มขึ้น 43%
จากมหาเศรษฐี 60,787คน เป็น 87,077 คน
3.คาซัคสถาน เพิ่มขึ้น 37%
จากมหาเศรษฐี 44,307 คน เป็น 60,874 คน
4.อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 32%
จากมหาเศรษฐี 178,605 คน เป็น 235,136 คน
5.ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 28%
จากมหาเศรษฐี 2,827,956 คน เป็น 3,625,208 คน
6.เกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 27%
จากมหาเศรษฐี 1,295,674 คน เป็น 1,643,799 คน
7.อิสราเอล เพิ่มขึ้น26%
จากมหาเศรษฐี 179,905 คน เป็น 226,226 คน
8.เม็กซิโก เพิ่มขึ้น 24%
จากมหาเศรษฐี 331,538 คน เป็น 411,652 คน
9.ไทย เพิ่มขึ้น 24%
จากมหาเศรษฐี 100,001 คน เป็น 123,531 คน
10.สวีเดน เพิ่มขึ้น 22%
จากมหาเศรษฐี 575,426 เป็น 703,216 คน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยจำนวนเศรษฐี (ผู้มีเงินสด 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท) ขึ้นไป พบว่า สหรัฐฯ ยังครอง 1 จำนวนเศรษฐีมากที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนกว่า 22 ล้านคน ตามมาด้วยจีน มีจำนวนเศรษฐี 6 ล้านคน และ สหราชอาณาจักร กว่า 3 ล้านคน
ทั้งนี้ หากคิดเป็นสัดส่วนแล่ว พบว่า ฝั่งสหรัฐฯ มีเศรษฐี 38%, ยุโรปตะวันตกมีเศรษฐี 28% และจีนมีเศรษฐี 10% ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนเศรษฐีในประเทศญี่ปุ่น อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไทยรวมกัน
อย่างไรก็ตาม ในรายงานได้มีการประเมินความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี ผ่านการวัดจาก มูลค่าทรัพย์สินปะเภทต่างๆ เช่น การถือครองเงินสด และ การถือครองอสังหาริมทรัพย์ และหักด้วยหนี้สินส่วนตัว