บมจ. เบทาโกร (BTG) เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรก ราคาเปิดอยู่ที่ 39.75 บาท ต่ำจอง 0.62% จากราคาไอพีโอ 40 บาท มูลค่าหลักทรัพย์ 77,392 ล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิพุ่ง 233% แตะ 3,892 ล้านบาท
วันที่ 2 พ.ย. 2565 บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในตลาดทุนไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO อยู่ที่ 77,392 ล้านบาท และใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BTG”
ราคาเปิดวันนี้อยู่ที่ 39.75 บาท ลดลง 0.25 บาท ต่ำจอง 0.62% จากราคาไอพีโอ 40.00 บาท โดยราคามีการปรับลดลงต่อเนื่องในช่วง 10 นาทีแรกของการซื้อขาย จนไปแตะที่ 37.25 บาท หรือต่ำกว่าราคาจอง 6.87%
ทั้งนี้ สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีรายได้รวม 54,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรขั้นต้น 10,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายตามกลุ่มธุรกิจของทุกกลุ่มธุรกิจ 6,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.2% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 3,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 233% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
BTG ประกอบธุรกิจเกษตรและอาหารครบวงจรครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง จำหน่ายในประเทศและต่างประเทศกว่า 20 ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ บริษัทเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรก หรือ ไอพีโอ (IPO) เมื่อวันที่ 10 - 17 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา ในจำนวน 434.8 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 17,392 ล้านบาท (ไม่รวมหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO อยู่ที่ 77,392 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ มีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปเป็นทุนในการขยายธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ตลอดจนชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของบริษัท
BTG มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน กระแสเงินสด แผนการลงทุน รวมทั้งความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นๆ ตามความเห็นสมควรคณะกรรมการบริษัท