ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับความผันผวนอย่างหนักในช่วงต้นเดือนกันยายน โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 500 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานเดือนสิงหาคมที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางตลาดในอนาคต
วอลล์สตรีทกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังวันหยุดยาวเนื่องในวันแรงงาน แต่บรรยากาศการลงทุนกลับไม่สดใสเท่าที่ควร ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างหนักถึง 506.71 จุด หรือ 1.22% ปิดตลาด ณ เวลา 23.51 น. ตามเวลาไทย ที่ระดับ 41,056.37 จุด สำหรับปัจจัยหลักที่ฉุดตลาดลงมาอย่างหนักในวันนี้คือความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 อีกทั้ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งสูงขึ้นทะลุ 3.9% ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา
ก่อนหน้านี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเดือนสิงหาคม ด้วยการปรับตัวขึ้นถึง 1.8% ดังนั้น แรงเทขายในวันนี้อาจเป็นผลมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุนบางส่วนด้วย ด้านภาพรวมตลาดหุ้นในขณะนี้ยังคงมีความผันผวนสูง และนักลงทุนยังคงจับตาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินทิศทางของตลาดในอนาคต
แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันนี้บ่งชี้ถึงการเปิดตลาดในแดนลบ ภายหลังจากที่ Nvidia ประสบภาวะขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงกว่า 2.1% ในวันอังคารที่ผ่านมา โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาด ณ เวลา 08:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ส และ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ปรับตัวลดลง 0.1% ในขณะที่ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ทรงตัว และ VIX ฟิวเจอร์ส ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.4%
เหล่านักลงทุนมีแนวโน้มเทขายหุ้นออกมาหลังจากมีข้อมูลการผลิตที่เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 40,936.93 จุด ปรับตัวลดลง 1.51% หรือ 626.15 จุด สำหรับดัชนี S&P 500 ปิดตลาดที่ 5,528.93 จุด ปรับตัวลดลง 2.12% หรือ 119.47 จุด และ Nasdaq คอมโพสิต ปิดตลาดที่ 17,136.30 จุด ปรับตัวลดลง 3.26% หรือ 577.33 จุด
สำหรับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้คือ Nvidia Corporation มูลค่าตลาดลดลงถึง 279,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงรายวันที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 47.2 ในเดือนสิงหาคม จาก 46.8 ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2566 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 47.5
ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิต ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ข้อมูลจาก FactSet ชี้ว่า เดือนกันยายนถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีผลประกอบการที่อ่อนแอที่สุด โดยดัชนี S&P 500 มักจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย 2.3% ในเดือนนี้ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงในเดือนกันยายนของทุกปีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการทรุดตัวลงถึง 9.3% ในปี 2565 สำรหรับปีนี้ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อาจทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้นในเดือนกันยายน เนื่องจากนักลงทุนมักมีแนวโน้มที่จะขายทำกำไรในเดือนกันยายนและตุลาคม ก่อนที่จะกลับเข้าซื้อในไตรมาส 4 ในทางกลับกัน เดือนธันวาคมมักเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมีผลประกอบการแข็งแกร่งที่สุด ตามมาด้วยเดือนพฤศจิกายนและตุลาคม
มอร์แกน สแตนลีย์ เตือนนักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคม ซึ่งจะมีการประกาศในวันศุกร์นี้ โดยตัวเลขดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ทิศทางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักจากตัวเลขการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่ต่ำกว่าคาด
ก่อนหน้านี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงกว่า 600 จุดในวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม และลดลงต่อเนื่องกว่า 1,000 จุดในวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 177,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ข้อมูลดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจตัดสินใจผิดพลาดในการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดนานเกินไป
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงในขณะนี้ โดยนักลงทุนกำลังรอคอยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมที่จะมีการประกาศในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางของตลาดในอนาคต ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยังคงรุมเร้า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักในวันนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์ของ Nvidia ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่แน่นอนในภาคเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงก็ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม นักลงทุนจึงเทขายหุ้นออกมา ส่งผลให้ดัชนีหลักทั้งสามร่วงลงอย่างหนักในวันอังคารที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นปิดทำการด้วยความผันผวน หลังมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ออกหมายเรียกไปยัง Nvidia และบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งส่งผลให้หุ้น Nvidia ปรับตัวลดลง 1.4% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ เหล่านักลงทุนกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็รอคอยรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และอาจมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการปรับอัตราดอกเบี้ย
ในส่วนของการเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว หุ้น Zscaler Inc (NASDAQ: ZS) ปรับตัวลดลง 14% หลังจากบริษัทมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อแนวโน้มธุรกิจ ด้านหุ้น Asana Inc (NYSE: ASAN) ลดลง 12% หลังรายงานผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง และประกาศเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ขณะที่หุ้น Pagerduty Inc (NYSE: PD) ลดลง 12% หลังปรับลดประมาณการรายได้
ในด้านข่าวเชิงบวก หุ้น Clover Health Investments Corp (NASDAQ: CLOV) พุ่งขึ้น 20% หลังจากที่หน่วยงาน Counterpart ได้รับสัญญาจาก Iowa Clinic และหุ้น Gitlab Inc (NASDAQ: GTLB) เพิ่มขึ้น 14% หลังรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งและการปรับเพิ่มประมาณการ สำหรับเทรดเดอร์กำลังจับตามองรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงที่ 25 หรือ 50 จุดในการประชุมวันที่ 18 กันยายนนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงในขณะนี้ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์