การเงิน

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ปิดทำนิวไฮ หลังเผยแพร่รายงานผลประชุมเฟด

10 ต.ค. 67
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ปิดทำนิวไฮ หลังเผยแพร่รายงานผลประชุมเฟด

ข่าวดีสำหรับนักลงทุน! ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี S&P 500 และ Dow Jones  ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยแพร่รายงานการประชุม  ซึ่งส่งสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะถึงปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด  

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ปิดทำนิวไฮ หลังการเผยแพร่รายงานการประชุมเฟด

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันพุธที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 และ Dow Jones ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เผยแพร่รายงานการประชุม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5%  อย่างไรก็ดี เฟดได้ย้ำว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการกำหนดทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่นักลงทุนกำลังรอคอยการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกันยายน และผลประกอบการไตรมาสที่สามของบริษัทจดทะเบียน

ในส่วนของหุ้น Alphabet (GOOGL.O) บริษัทแม่ของ Google  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 1.5%  หลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ Google แยกธุรกิจบางส่วนออก  เช่น  เว็บเบราว์เซอร์ Chrome และระบบปฏิบัติการ Android  เพื่อป้องกันการผูกขาดในธุรกิจเสิร์ชเอนจิน

รายงานการประชุมของเฟด ชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา  แต่ไม่ได้หมายความว่า เฟดจะดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันนี้ในอนาคต

ข้อมูลของ CME FedWatch  พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีความน่าจะเป็น 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และ 21% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมในการประชุมครั้งต่อไป

รายงานการประชุมเฟดช่วยคลายความกังวลใจของนักลงทุน

Lindsey Bell หัวหน้านักกลยุทธ์จาก 248 Ventures ใน Charlotte, North Carolina กล่าวว่า "รายงานการประชุมเฟดยืนยันสิ่งที่เราคิดมาตลอด และช่วยคลายความกังวลใจของนักลงทุน  การถกเถียงกันเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย 0.5%  แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการไม่ได้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรง"

ขณะนี้ ตลาดกำลังรอคอยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งจะประกาศในเช้าวันพฤหัสบดี  รวมถึงรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามของบริษัทจดทะเบียน  โดยธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จะเริ่มประกาศผลประกอบการในวันศุกร์นี้

Bell กล่าวเสริมว่า "รายงานการประชุมยังยืนยันด้วยว่า เฟดเชื่อว่าพวกเขาชนะสงครามเงินเฟ้อแล้ว ดังนั้น ตัวเลข CPI ในวันพรุ่งนี้ไม่น่าจะสร้างความประหลาดใจมากนัก"

การซื้อขายในสัปดาห์นี้ค่อนข้างผันผวน  เนื่องจากนักลงทุนกำลังปรับมุมมองเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย  หลังจากรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกันยายนออกมาแข็งแกร่งเกินคาด  ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจอยู่ในสภาพที่ดีกว่าที่นักลงทุนกังวล

"มีบรรยากาศของการมองโลกในแง่ดีในตลาดหุ้น นับตั้งแต่รายงานการจ้างงานในวันศุกร์  นักลงทุนยังคงมองในแง่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ 'soft landing' หรือแม้กระทั่ง 'no landing'"  Bell กล่าว โดย 'soft landing' หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงเล็กน้อย  ส่วน 'no landing' หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้

ดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 431.63 จุด หรือ 1.03% ปิดที่ 42,512.00 จุด  ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 40.91 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 5,792.04 จุด  และดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 108.70 จุด หรือ 0.60% ปิดที่ 18,291.62 จุด

ดัชนี S&P 500 ปิดทำนิวไฮเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม  และเป็นครั้งที่ 44 ในปี 2024  ส่วนดัชนี Dow Jones ปิดทำนิวไฮครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา

ภาวะตลาดหุ้นและปัจจัยที่มีอิทธิพล

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนี S&P 500 และ Dow Jones ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  แรงหนุนสำคัญมาจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งบ่งชี้ว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5%  อย่างไรก็ตาม เฟดได้เน้นย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในอนาคตแต่อย่างใด

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความสนใจของนักลงทุนที่รอคอยการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกันยายน และผลประกอบการไตรมาสที่สามของบริษัทจดทะเบียน

การวิเคราะห์รายกลุ่มอุตสาหกรรม

โดย 11 กลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี S&P 500 พบว่า 9 กลุ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น  ขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภค (.SPLRCU) ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ปรับตัวลดลง 0.9%  และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร (.SPLRCL) ซึ่งรวมถึง Alphabet  ปรับตัวลดลง 0.6%  โดย Daniel Morris หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ BNP Paribas ให้ความเห็นว่า "ข่าวเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการผูกขาดสร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อบริษัทที่มีอำนาจเหนือตลาด"

ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการลงทุน

นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับสถานการณ์พายุเฮอริเคนมิลตัน ซึ่งทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระดับ 5 และกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งตะวันตกของรัฐฟลอริดา  โดยมีความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในพื้นที่

การเคลื่อนไหวของหุ้นรายบริษัท

  • Boeing (BA.N): ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 3.4% หลังจากการเจรจาระหว่างบริษัทและสหภาพแรงงานไม่ประสบผลสำเร็จ
  • Norwegian Cruise Line (NCLH.N): ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.9% หลังจาก Citigroup ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนเป็น "ซื้อ"
  • Carnival (CCL.N) และ Royal Caribbean Cruises (RCL.N): ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% และ 5.2% ตามลำดับ
  • Arcadium Lithium (ALTM.N): ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.9% หลังจาก Rio Tinto (RIO.AX) ประกาศเข้าซื้อกิจการ
  • Alibaba Group และ PDD Holdings (PDD.O): ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 1.6% และ 2.3% ตามลำดับ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

สถิติการซื้อขาย

  • ตลาด NYSE: หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีจำนวนมากกว่าหุ้นที่ปรับตัวลดลงในอัตราส่วน 1.31 ต่อ 1 มีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ 339 ตัว และทำจุดต่ำสุดใหม่ 49 ตัว
  • ตลาด Nasdaq: หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีจำนวนมากกว่าหุ้นที่ปรับตัวลดลงในอัตราส่วน 1.02 ต่อ 1 ดัชนี S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่ 52 ตัว และทำจุดต่ำสุดใหม่ 2 ตัว ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ทำจุดสูงสุดใหม่ 88 ตัว และทำจุดต่ำสุดใหม่ 133 ตัว
  • มูลค่าการซื้อขาย: มูลค่าการซื้อขายรวมในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.109 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับค่าเฉลี่ย 20 วันทำการที่ 1.204 หมื่นล้านดอลลาร์

สรุปภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในแดนบวก โดยดัชนี S&P 500 และ Dow Jones ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเผยแพร่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนว่า เฟดยังคงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเศรษฐกิจ  แม้จะมีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการผูกขาดในภาคเทคโนโลยี และภัยพิบัติทางธรรมชาติ  แต่ภาพรวมของตลาดหุ้นยังคงแสดงถึงสัญญาณเชิงบวก  สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเลขเงินเฟ้อที่กำลังจะประกาศในวันพฤหัสบดี  และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศออกมา  ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดหุ้นในระยะถัดไป

advertisement

SPOTLIGHT