การเงิน

ราคาทองคำลุ้นดีดตัวขึ้น หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว-เฟดจบรอบขึ้นดอกเบี้ย

26 พ.ย. 66
ราคาทองคำลุ้นดีดตัวขึ้น หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว-เฟดจบรอบขึ้นดอกเบี้ย

ราคาทองคำในช่วงราว 2 เดือนที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวในทิศทางสลับขึ้นลง โดยในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ราคาทองคำมีการปรับขึ้นอย่างร้อนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากการมีแรงหนุนที่สำคัญอย่าง แรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการประทุขึ้นของเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส และได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมมาจากการปรับตัวลงของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐหลังนักลงทุนมีการเพิ่มโอกาสต่อแนวโน้มที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ตามลักษณะการส่งสัญญาณของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่มีการลดความแข็งกร้าวลง

ขณะที่ในช่วงเดือนพ.ย. มีการปรับตัวลงก่อนเนื่องด้วยนักลงทุนได้ลดการตอบสนองต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่กล่าวในข้างต้นลง ทำให้แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจึงชะลอตัวลงตามลำดับ

ประกอบกับเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย รวมถึงนายพาวเวล ได้ออกมาส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินด้วยความแข็งกร้าวที่เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อการนำเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย พร้อมระบุถึงความระมัดระวังต่อการถูกชักนำจากข้อมูลเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐมีการพยายามฟื้นตัวขึ้น ราคาทองคำจึงมีการปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน

อย่างไรก็ดี หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐนั้น ราคาทองคำมีการดีดตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งปัจจัยหนุนราคาทองคำในครั้งนี้ อาจมีส่วนหนุนราคาทองคำให้เคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นต่อไปได้จนถึงช่วงสิ้นปีนี้ หรืออาจยาวนานกว่านั้น 

 เงินเฟ้อสหรัฐส่อแววชะลอตัว กระตุ้นนักลงทุนมีความหวังเฟดลดอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงในปี 2024 

สหรัฐมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งออกมาบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่าง ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค. ที่คงตัวจากเดือนก่อนหน้า หรือขยายตัวที่อัตรา 0.0% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และนับเป็นการชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน หลังจากนั้นการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. ที่หดตัวลงถึง 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนอกจากจะย่ำแย่กว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ยังเป็นการหดตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี

การปรับตัวลงของตัวเลข PPI นั้น มีนัยทำให้ตัวเลข CPI อาจปรับตัวลงเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ด้วยข้อมูลดังกล่าวจึงส่งเสริมมุมมองที่ว่า เงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลายฝ่ายจึงประเมินว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหลังจากนี้

นอกจากนั้น ข้อมูลเศรษฐกิจในฝั่งตลาดแรงงานสหรัฐยังออกมาบ่งชี้ถึงภาวะตึงตัวที่ลดลงอย่าง การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนต.ค. ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.5 แสนราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างชะลอตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี

อีกทั้งตัวเลขอัตราว่างงานยังเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.9% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด และยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของเฟดจากรายงานภาวะเศรษฐกิจในเดือนก.ย.

นอกจากนั้น ตัวเลขที่มีความอ่อนไหวต่อระดับเงินเฟ้อมากที่สุดอย่าง รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงนั้น ในเดือนต.ค. ตัวเลขดังกล่าวก็ที่เพิ่มขึ้นอย่างชะลอตัวลงมากกว่าคาดการณ์เช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงยิ่งสนับสนุนต่อแนวโน้มการยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ในปัจจุบัน ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนละทิ้งความเป็นไปได้ หรือให้น้ำหนักที่ระดับ 0.0% ต่อคาดการณ์ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังประเมินถึงโอกาสต่อคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.00% สู่ระดับ 4.25-4.50% ภายในสิ้นปี 2024 ซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าคาดการณ์ของเฟด โดยเฟดคาดการณ์ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.50% ในปีดังกล่าว เท่านั้น

  •  ตลาดตอบรับเชิงบวกมากเกินไป? ส่องความเป็นไปได้จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด 

อย่างไรก็ดี การตอบสนองของตลาดในปัจจุบัน อาจเป็นไปในเชิงบวกที่มากเกินไป เนื่องด้วยจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดทั้งหมด รวมถึงนายพาวเวล ล้วนย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อการนำเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย อีกทั้งนายพาวเวลยังคงชี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นยังไม่ใส่สิ่งที่คณะกรรมการนำมาพิจารณา สอดคล้องกับคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์ ที่ระบุว่า เฟดอาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 โดยแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงจากปัจจุบัน แต่นับว่าจะยังเติบโตในทิศทางที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงได้อย่างยาวนานตามที่เคยส่งสัญญาณไว้

ยิ่งไปกว่านั้น หากเฟดพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เงินเฟ้อไม่ได้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นไปได้เช่นกันที่เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเช่นกัน โดยถ้อยแถลงของนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ชี้ว่า ยังไม่เห็นความเป็นไปได้ในระยะอันใกล้ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในทางตรงกันข้าม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่า หากมีข้อมูลบ่งชี้ถึงความจำเป็น สอดคล้องกับคาดการณ์ของบาร์เคลย์ส ที่ชี้ว่า เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมเดือนม.ค. ปี 2024

FED

ฉะนั้น ในการประชุม FOMC ในระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค. นอกจากติดตามมติอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังแนะนำให้ติดตามรายงานการประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่จะเปิดเผยออกมาพร้อมกัน โดยรายงานฉบับนี้จะระบุถึงตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุด รวมถึงตัวเลขที่จะใช้เป็นมาตรวัดต่อแนวทางการดำเนินโยบายการเงินของเฟดในปี 2024

ทั้งนี้ หากเฟดไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อการจบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ ลักษณะสถานการณ์เช่นนี้ มีแนวโน้มหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอย่างแข็งแกร่ง แต่หากสถานการณ์ไม่ได้เป็นดังที่กล่าวไป อาจต้องประเมินภาพรวมของสถานการณ์อีกครั้ง

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

advertisement

SPOTLIGHT