มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์เป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งมั่นในการนำปรัชญาพุทธเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้สังคมไทยมีการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ณ.งาน sx sustainability expo 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีบรรยายธรรมพิเศษ เพื่อแรงบันดาลใจแห่งความยั่งยืน จากปรัชญาพุทธเศรษฐศาสตร์ ในหัวข้อ : มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ โดย พระเมธีวชิโรดม (ว. วชิรเมธี) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืนตามแนวพุทธเศรษฐศาสตร์ โดยยึดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก โดยหลักธรรมเหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิดของความยั่งยืน ความพอดี ความยั่งยืน และความสงบสุข
ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ยกตัวอย่างแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืนตามแนวพุทธเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกรรมแบบยั่งยืน ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การใช้น้ำอย่างประหยัด และการปลูกพืชหมุนเวียน
การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับผลกำไร เช่น ธุรกิจที่สนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่ช่วยเหลือสังคม และธุรกิจที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
สังคมที่ยั่งยืนที่คำนึงถึงประโยชน์ของทุกคนในสังคม โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือฐานะทางเศรษฐกิจ เช่น สังคมที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ สังคมที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและสาธารณสุข และสังคมที่ส่งเสริมสันติภาพ
มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ หรือ โรงเรียนชาวนา มุ่งเน้นการศึกษาและวิจัยด้านพุทธเศรษฐศาสตร์ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ซึ่งหลักธรรมเหล่านี้สอดคล้องกับกรอกแนวคิดของความยั่งยืน ได้แก่
พุทธธรรม หลักการพื้นฐาน ในการครองชีวิต
พุทธเศรษฐศาสตร์
พุทธเกษตร
พุทธวัฒนธรรม
มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ (โรงเรียนชาวนา) เป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกที่มุ่งมั่นพัฒนาคนให้เข้มแข็งจากฐานรากตามแนวทาง “อยู่รอด อยู่ได้ อยู่ดี” โดยยึดหลัก “คาถาหัวใจเศรษฐีของพระพุทธเจ้า” ที่ว่า “ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร ใช้ชีวิตพอเพียง” มาเป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอน
ท่าน ว.วชิรเมธี ยกย่องนายลือชัย นาไพวรรณ หรืออ้ายลือ นักเรียนดีเด่นแห่งปีรุ่นที่ 3 ของโรงเรียนชาวนา ว่าเป็นคนที่มีความเพียรพยายามสูงมาก แม้จะพิการตั้งแต่เด็กจนต้องคลาน แต่ก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เดินทางไกลกว่า 30 กิโลเมตรเพื่อมาเรียนหนังสือทุกวัน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมที่ว่าเกษตรกรเป็นอาชีพต่ำต้อย
อ้ายลือเล่าว่า ตนมาเรียนที่โรงเรียนชาวนาเพราะต้องการพิสูจน์ว่าอาชีพเกษตรกรไม่ได้ต่ำต้อยอย่างที่คนเข้าใจ ที่นี่สอนให้ตนรู้จักการทำเกษตรแบบพอเพียง รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่สำคัญคือสอนให้ตนมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ปัจจุบัน อ้ายลือมีรายได้เฉลี่ยวันละ 800 บาท จากการทำเกษตรบนพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ 3 งาน โดยปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ผักหวานป่า ดอกกระเจียว ดอกเชียงดา และชะอม ซึ่งแต่ละชนิดมีราคาที่แตกต่างกันไป โดยในช่วงที่ราคาสูง รายได้ของอ้ายลือจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว อ้ายลือกล่าวทิ้งท้ายว่า การทำเกษตรเป็นอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน หากเรารู้จักวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ว่าหน้าแล้งหรือหน้าฝน เราก็จะมีรายได้เลี้ยงชีพได้
ท่าน ว.วชิรเมธี ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืนตามแนวพุทธเศรษฐศาสตร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด แต่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาแบบยั่งยืนได้ โดยเริ่มจากการดำเนินชีวิตของตนเองให้สอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา