รถยนต์ SUV กลายเป็นที่นิยมทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยอดขายพุ่งสูงทำลายสถิติในปี 2023 ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ใหม่ไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้กลับส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เนื่องจากรถ SUV ทั่วโลก ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกว่า 1 พันล้านตัน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจถึงสาเหตุของความนิยมรถ SUV ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมาตรการที่นานาประเทศกำลังดำเนินการเพื่อควบคุมการเติบโตของรถ SUV และส่งเสริมการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถ SUV ทั่วโลกทำลายสถิติในปี 2023 โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมแสดงความกังวลว่า ยอดขายรถ SUV ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของภาวะโลกร้อน ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์โดย IEA พบว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถ SUV ในปี 2023 คิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก หากเปรียบรถ SUV เป็นประเทศ จะถือเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก แซงหน้าทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนี ในขณะที่สภาพอากาศรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น และจำเป็นต้องมีมาตรการลดการปล่อยก๊าซเร่งด่วน แต่การปล่อยก๊าซจากภาคการขนส่งกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายรถ SUV ที่เพิ่มขึ้นถึง 15% ในปี 2023 เทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่เพิ่มขึ้นเพียง 3% อย่างไรก็ตาม IEA ก็เตือนว่ารถ SUV มีแนวโน้มก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงต่อคนเดินถนนมากกว่ารถยนต์ทั่วไป และกินพื้นที่ใช้สอยในเมืองมากกว่ารถยนต์ทั่วไปอีกด้วย
ในปี 2023 มีรถ SUV ประมาณ 20% ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แม้จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ IEA เน้นย้ำว่ารถ SUV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ายังคงต้องการแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ และต้องการพลังงานไฟฟ้าในการชาร์จมากกว่ารถยนต์ทั่วไป
Laura Cozzi และ Apostolos Petropoulos นักวิเคราะห์จาก IEA ระบุว่า แม้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แนวโน้มการเติบโตของรถยนต์ขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพน้อยลงอย่าง SUV ได้หักล้างความก้าวหน้าด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ด้าน James Nix จากองค์กร Transport and Environment (T&E) เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อจำกัดขนาดของรถยนต์ SUV รวมถึงการจัดเก็บภาษีและค่าจอดรถที่ไม่เอื้อต่อการใช้รถ SUV ขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ยุโรปเดินตามรอยอเมริกาเหนือ ที่ซึ่งขนาดของรถยนต์ SUV มีแนวโน้มใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นทุกปี
ในปี 2023 มีรถ SUV มากกว่า 360 ล้านคันทั่วโลก ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวม 1 พันล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2022 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสี่ของความต้องการใช้น้ำมันทั้งหมด โดย IEA ระบุว่ารถ SUV มีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ขนาดกลางโดยเฉลี่ย 200-300 กิโลกรัม และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าประมาณ 20%
ในขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 55% ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในปี 2023 เป็นรถ SUV ซึ่ง IEA เห็นว่าการเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การลดการใช้วัสดุในการผลิตรถยนต์ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน
หลายประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ และไอร์แลนด์ กำลังดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมความต้องการรถ SUV เช่น การเพิ่มค่าจอดรถสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่หน่วยงานอื่นๆ อาจนำไปปรับใช้เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ที่มีขนาดเล็กลงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สุดท้ายนี้แม้รถ SUV จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นก็ไม่อาจมองข้ามได้ การเติบโตของตลาดรถ SUV สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของผู้บริโภคกับความจำเป็นในการปกป้องโลกของเรา สำหรับมาตรการต่างๆ ที่นานาประเทศกำลังดำเนินการเพื่อควบคุมการเติบโตของรถ SUV และส่งเสริมการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีว่าเราอาจกำลังก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น แม้เส้นทางข้างหน้าอาจจะยังท้าทาย แต่ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม และผู้บริโภค จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ที่มา theguardian