สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยื่นใบลาออกจากกองทุนสหประชาชาติที่ประเทศร่ำรวยจะจ่ายเงินชดเชยสนับสนุนให้ประเทศยากจนต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดยจดหมายจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม ระบุว่าสหรัฐฯ จะไม่เป็นสมาชิกของคณะกรรมการกองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหายของสหประชาชาติ (UN Loss and Damage Fund) อีกต่อไป
กองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหาย หรือ Fund for Responding to Loss and Damage (FRLD) คือกองทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือประเทศเปราะบางในการรับมือกับผลกระทบของภาวะโลกรวน กองทุนดังกล่าวได้รับการเสนอขึ้นในปี 2022 ที่การประชุม COP27 ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และในการประชุม COP28 ปี 2023 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีประเทศกว่าเกือบ 200 ประเทศเห็นชอบในกองทุนดังกล่าว และมีการวางแผนไว้ว่าจะเริ่มจ่ายเงินในปี 2025
ในสายตาของหลายคน การที่บางประเทศต้องรวมเงินสนับสนุนให้อีกหลายประเทศเพียงเพราะตนรวยกว่าอาจดูไม่ใช่เรื่องยุติธรรมนัก แต่การที่ประเทศ “รวย” ต้องจ่ายเงินให้ประเทศ “จน” อาจมีเหตุผลมากกว่าความเมตตาหรือการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์
แต่สาเหตุหลักนั้นเป็นเพราะ ประเทศกำลังพัฒนาเป็นปราการด่านแรกของวิกฤตสภาพแวดล้อมที่ตนเองแทบไม่ได้ก่อ รายงานจาก World Bank ชี้ว่า ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก 74 ประเทศรวมตัวกัน ก็ผลิตก๊าซเรือนประจกเพียง 10% ของก๊าซเรือนกระจกที่โลกผลิตต่อปีเท่านั้น แต่การเผชิญกับผลร้ายแรงกลับตรงกันข้าม หากเทียบกับทศวรรษที่ 1980 จะเห็นได้ว่าประเทศ “ยากจน” เหล่านี้เผชิญกับภัยธรรมชาติมากขึ้นถึง 8 เท่า
ในปี 2015 World Economic Forum กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาอาจมีค่าใช้จ่ายการสูญเสียทางเศรษฐกิจถึงปีละ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีถึงปี 2050 เพื่อจัดการกับวิกฤตภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น
ราคาค่าโลกรวนไม่ได้เกิดในรูปแบบของการสูญเสียทางเศรษฐกิจเท่านั้น สำนักงานด้านการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs - OCHA) รายงานว่าในปี 2023 มีคนไม่ต่ำกว่า 12,000 คนเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า พายุ และดินถล่ม ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าปี 2022 ถึง 30%
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (the Intergovernmental Panel on Climate Change - IPCC) ยังบอกอีกว่า ประเทศกำลังพัฒนานั้นได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกรวนมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วถึง 15 เท่า
แต่หากย้อนกลับมาว่าแล้วใคร (ประเทศไหน) ที่เป็นตัวการของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด หลักฐานที่พอจะบอกได้คงจะเป็นคาร์บอนฟุตปริ้น (carbon footprint) หรือปริมาณรวมของคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดย 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลจาก Global carbon Project และ World Population Review) คือ จีน, สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, อิหร่าน, เยอรมนี, ซาอุดิอาราเบีย, และเกาหลีใต้ตามลำดับ
อีกด้านประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศมากที่สุดคือ ชาด, โซมาเลีย, ซีเรีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, อัฟกานิสถาน, ซูดานใต้, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, ไนจีเรีย, เอธิโอเปีย, และบังกลาเทศ
แม้ในปัจจุบันจีนจะเป็นอันดับหนึ่งบนแท่นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด แต่หากเรามองภาพรวมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะพบว่า สหรัฐฯ ยังคงครองแชมป์ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก
นอกจากจดหมายลงชื่อรีเบคกา ลอว์เลอร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ถึงกองทุน Loss and Damage ในนามกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่เป็นสมาชิกกองทุนอีกต่อไป สหรัฐฯ ก็มีประวัติการถ่วงเวลาจ่ายเงินให้กองทุน โดยสหรัฐฯ จ่ายเงินให้กองทุนเพียง 17.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น
การถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากกองทุนจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อกองทุน และทำให้เกิดการวิจารณ์เป็นวงกว้าง โมฮาเหม็ด อาโดว์ นักวิเคราะห์นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศและผู้อำนวยการขององค์กร Thinktank Power Shift Africa กล่าวว่า “การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะถอยออกมาจากข้อตกลงในเวลาที่วิกฤตอย่างนี้เป็นการส่งข้อความอย่างผิดๆ ให้สมาคมโลก และคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างสาหัส เราเรียกร้องให้สหรัฐฯ พิจารณาจุดยืนของตัวเองใหม่ว่ายังสนใจในโลกใบนี้และคนรุ่นถัดไปหรือไม่ การตัดสินใจน่าอายครั้งนี้เสี่ยงจะทำลายความก้าวหน้าที่อาจมีร่วมกันและทำลายความไว้วางใจที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อการร่วมมือในระดับนานาชาติที่มีประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ หลังถอนตัวจากความตกลงปารีส ความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ สหรัฐฯ ยังได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อน อาทิ ข้อตกลงการเป็นพันธมิตรด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition Partnership: JETP) ข้อตกลงระหว่างประเทศร่ำรวยที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพื่อเลิกการใช้พลังงานถ่านหินด้วยเช่นกัน
การที่สหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถอนตัวจากความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมไม่ใช่สัญญาณที่ดีต่อโลก ราเชล โรส แจกสัน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ Corporate Accountability กล่าวว่า “พูดตรงๆ นะ สหรัฐฯ ไม่เคยเป็นแชมป์ด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แล้วการบริหารแบบต่อต้านนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของทรัมป์ ตั้งแต่การถอนตัวจาก Loss and Damage ยิ่งกลายเป็นระบิดไดนาไมท์ซ้ำอีก นี่อันตรายมาก เรียกได้ว่าชั่วร้ายและจะทำลายอีกหลายชีวิต เราจะปล่อยให้การรัฐบาลทรัมป์และเหล่าบริษัทจอมละโมบของเขาชักใยต่อไปไม่ได้ ถ้าจะหยุดทำลายโลกเรา สหรัฐฯ ต้องจ่ายหนี้ค่าสภาพแวดล้อมมาและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองด้านสภาพอากาศอย่างยุติธรรม”