ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความกังวลจากความไม่แน่นอน จากความผันผวนของเศรษฐกิจ และความขัดแย้งของคนในสังคม อย่างไรก็ตามความแปรปรวนของสภาพอากาศกลับเป็นภัยอันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่าวิกฤตใดที่เคยเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันภาคส่วนธุรกิจ หรือ ฝั่งแบรนด์แบกรับความคาดหวังจากผู้บริโภค และถูกมองว่ามีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความยั่งยืน แต่ความท้าทายที่แบรนด์ต้องเผชิญ คือ ช่องว่างระหว่างความตั้งใจกับการลงมือทำจริง (Intention-action gap) จากผลการสำรวจของ Kantar ในปี 2023 พบว่าคนไทยกว่า 85% เห็นความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนและมีความตั้งใจที่อยากจะลงมือทำ แต่มีเพียง 37% ที่ลงมือทำจริงอย่างสม่ำเสมอ (Kantar Thailand Market Brief, 2023) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของแบรนด์ในวันนี้ มีโอกาสอีกมากที่จะเข้ามาปิดช่องว่างนี้ ผ่านการทำธุรกิจที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งสินค้า บริการ การสื่อสาร หรือการสร้างประสบการณ์ร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า
สอดคล้องกับมุมมองของทางบริษัท Ogilvy Thailand เชื่อว่า “การสร้างอิมแพคเชิงบวกทางด้านความยั่งยืนผ่านแบรนด์ คือ การลงมือทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งด้านธุรกิจ คน และโลก” ตรงกับแนวคิด Triple Bottom Line ที่เป็นสร้างความสมดุลในการทำธุรกิจทั้ง 3 ด้าน หรือ 3Ps คือ Performance People Planet ซึ่งจะช่วยสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนให้องค์กรได้อย่างแท้จริง (Harvard Business Review, 2018)
การทำให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืนและเติบโตอย่างแท้จริง ต้องทำให้ “ความยั่งยืน” เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางธุรกิจในทุกๆ วัน ซึ่งแตกต่างจากการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจ หรือ เรียกว่า CSR ที่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม การเริ่มลงมือทำเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่มี “ความต่อเนื่อง” ของกิจกรรมที่ทำ ผลลัพธ์ก็จะเกิดขึ้นจริงได้ยาก
หัวใจที่สำคัญอีกอย่าง คือ “การสื่อสารให้ชัดเจน” เพราะนอกจากเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับรู้ถึงแนวคิดของแบรนด์ที่มีต่อเรื่องความยั่งยืน และความโปร่งใสของการดำเนินธุรกิจผ่านสิ่งที่แบรนด์ทำจริง สิ่งนี้ยังส่งผลดีในระยะยาวต่อ “ความยืดหยุ่นของแบรนด์” หรือ Brand Resilience ในกรณีที่แบรนด์เผชิญกับวิกฤติต่างๆ ผลจากงานวิจัยของ Kantar กว่า 100 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงในโลกในปี 2023 พบว่า “หากผู้บริโภครับรู้ว่าแบรนด์ขาดการใส่ใจและลงมือทำด้านความยั่งยืน ความยืดหยุ่นของแบรนด์จะลดลงถึง 5%” นั่นแปลว่า ถ้ากิจกรรมด้านความยั่งยืนของแบรนด์ไม่ได้ถูกสื่อสารอย่างชัดเจน สิ่งนี้จะกระทบต่อมูลค่าของแบรนด์ในระยะยาว
การสื่อสารเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ทำอย่างชัดเจน มีได้หลายองค์ประกอบ ดังนี้
ทำให้ผลลัพธ์จับต้องได้ (Make it tangible) เช่น การพูดถึงตัวเลขของโครงการ ผลกระทบเชิงบวกที่ทำ หรือความคืบหน้าของโครงการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือของโครงการที่ทำ
ทำให้เข้าใจง่าย (Make it simple) เช่น การใช้ภาษาที่กลุ่มเป้าหมายคุ้นเคย หรือการเลือกใช้ภาษาเปรียบเปรยเพื่อบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าข้อมูล
ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม (Make it engageable) เช่น การหยิบสถานการณ์ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อดึงดูดให้คนกลุ่มเป้าหมายที่มีความตั้งใจได้เข้ามามีส่วนร่วม ได้เห็นความโปร่งใสในการทำไปพร้อมกับแบรนด์ เพราะความยั่งยืน เป็นสิ่งที่อาศัยการลงมือทำร่วมกัน
ทำให้แตกต่าง และเกิดภาพจำ (Make it differentiated) แต่ยังคงต้องสะท้อนกลับมาที่ตัวตน จุดประสงค์และเป้าหมายของแบรนด์
ตัวอย่างผลงานของ Ogilvy ทั่วโลกและประเทศไทย ที่ทำร่วมกับ DOVE ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยนำพาให้แบรนด์เปลี่ยนบทบาทจากการนิยามค่านิยม “REAL BEAUTY” เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคกําหนด BEAUTY ในแบบของตน และสร้างวัฒนธรรม “SELF-ESTEEM” ผ่านงาน Dove Turn Your Back ที่แบรนด์สนับสนุนให้คนบน TikTok หันหลังให้กับ AI Beauty filter ที่เคลมว่าทําให้ “สวยขึ้น” แล้วมั่นใจในความสวยในแบบของตัวเองหรือผลงานล่าสุดอย่าง #KeepHerConfident ที่แบรนด์หันมาสร้างโฆษณา body positivity เป็นครั้งแรกในงาน SuperBowl ในรอบ 20 ปี เพื่อเชิดชูร่างกายของผู้หญิงในวงการกีฬา สร้างมาจากข้อมูลที่ว่า 45% ของเด็กผู้หญิงมักจะเลิกเล่นกีฬา เพราะกังวล และไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง
สำหรับผลงานของทาง Ogilvy Thailand ที่ทำร่วมกับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มาโดยตลอดบนเป้าหมายของ
แบรนด์ ที่มุ่งเน้นสร้างแรงบันดาลในให้คนและสังคม ผ่านการสื่อสารและการเล่าเรื่องผ่านอารมณ์ความรู้สึกอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าแค่งานโฆษณา เช่น ผลงาน “Unsung Hero” หรือ ผลงาน “Until We Meet Again” ที่ได้รับรางวัลจาก London International Awards 2022 (LIA) ซึ่งถือเป็นเวทีการประกวดโฆษณาและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ พร้อมกิจกรรมเพื่อสังคมและคนไทย ได้แก่ “Street Art Space” ที่สถานี MRT ที่ให้แรงบันดาลใจคนไทย “สุขยั่งยืนมีคืน” แบบประกันคัดสรรพิเศษ เพื่อวิสาหกิจชุมชนไทย รวมถึงการสนับสนุนด้านความเท่าเทียมของคนในสังคม ผ่านแคมเปญ
#วัดกันที่ผลงาน เป็นต้น อีกทั้งการก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่จัดทำแผนแม่บทด้านการพัฒนาสู่ความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรให้สอดคล้องกับปัจจัยและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ “ความใส่ใจ” ท่ีจะสานต่อ และ ขับเคลื่อนโครงการด้าน ESG เพ่ือเติบโตสู่วันท่ีดียิ่งกว่าไปด้วยกัน
โดย Ogilvy Thailand ได้ก่อตั้ง ‘Sustainability & Social Impact Team’ หรือ ทีมนักวางกลยุทธ์การสื่อสารด้านความยั่งยืนในสำนักงานโอกิลวี่ทุกประเทศทั่วโลก ตั้งแต่การวางกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Branding & Strategy) งานครีเอทีฟ (Creative) งานด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ประสบการณ์ (Technology & Experience) งานประชาสัมพันธ์ (Public Relations) เพื่อให้พร้อมทั้งเติมเต็มในทุก Capabilities และตอบโจทย์ที่หลากหลาย
สุดท้ายนี้ ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน และสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ซึ่งแบรนด์ถือว่ามีความใกล้ชิดกับชีวิตของผู้คน ที่สามารถทำให้พลังเล็กๆ ของผู้คนกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้
ผู้เขียน: พฤกษ์ ชีวะวรนันท์ / Pruek Cheewaworanun
ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ โอกิลวี่ ประเทศไทย/ Strategy Director, Ogilvy Thailand
References:
Sustainability & Social Impact