International Business Machines หรือ IBM กำลังปิดแผนกวิจัยหลักในจีน ส่งผลกระทบต่อพนักงานมากกว่า 1,000 คน ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่น รวมถึง Yicai จากแนวโน้มของบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่กำลังลดการพึ่งพาในจีนในวงกว้าง
ตามรายงานของ Yicai ที่อ้างอิงจากคำแถลง IBM กำลังปิดหน่วยธุรกิจ 2 แห่งในจีน ที่มุ่งเน้นด้านการวิจัยและการพัฒนา และแผนกการทดสอบ ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะเปลี่ยนการมุ่งเน้นไปที่การให้บริการแก่บริษัทเอกชน และบริษัทข้ามชาติบางแห่งที่ดำเนินธุรกิจในจีนแทน
IBM เป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนมาก ที่กำลังลดการอยู่ภายในประเทศจีน เนื่องจากความท้าทายหลายประการ ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศ แรงกดดันด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น และการผลักดันให้เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีในท้องถิ่น ทำให้นำไปสู่แนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้นของบริษัทระหว่างประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น Morgan Stanley ที่ได้ย้ายการดำเนินงานบางส่วนไปนอกประเทศจีน และการลงทุนจากต่างประเทศได้ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความกังวลว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับบริษัทในประเทศมากกว่า
ไม่เพียงเท่านี้ ในเดือนพฤษภาคม Microsoft เสนอที่จะย้ายพนักงานชาวจีนหลายร้อยคนที่ทำงานเกี่ยวกับคลาวด์และ AI ไปยังที่อื่น เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อนของจีนอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ Microsoft ได้ปิดไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ LinkedIn ในประเทศแล้ว
ปัจจุบัน ภาคเทคโนโลยีมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างต่อเนื่อง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ AI ซึ่งจีนกำลังพัฒนาและสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของตนเองอย่างหนักแน่น เช่น Huawei เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อโอกาสในอนาคตของจีน และจำกัดอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีน
อย่างยอดขายใน IBM จีนลดลงเกือบ 20% ในปี 2023 ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยรวมมีรายได้คิดเป็น 11.7% ของรายได้ที่ 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ IBM ซึ่งกลุ่มเทคโนโลยียังได้ลดจำนวนพนักงานในภูมิภาคอื่นๆ เพื่อเพิ่มผลกำไรด้วย
ทั้งนี้ IBM กำลังวางแผนที่จะย้ายหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาจากประเทศจีนไปยังสถานที่อื่น ตามรายงานของ Wall Street Journal โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์ในการบรรยายสรุปโดย Jack Hergenrother รองประธานบริษัท ซึ่งพนักงานบางคนได้รับแจ้งว่า IBM จะขยายทีมวิศวกรรมและการวิจัยในสถานที่ต่างๆ เช่น เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย
ที่มา Bloomberg, Financial Times