สหรัฐอเมริกาเริ่มต้นเก็บภาษีนำเข้าขั้นพื้นฐานในอัตรา 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 เมษายน 68)โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขอให้ชาวอเมริกัน “อดทนไว้” หลังตลาดกำลังเผชิญความปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ทรัมป์ ระบุว่า ความผันผวนในตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเหมือนการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯ จะเป็นผู้ชนะ โดยทรัมป์โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียว่า “อดทนไว้ก่อน มันจะไม่ง่ายเลย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะกลายเป็นประวัติศาสตร์”
นโยบายด้านภาษีและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เขานำเสนอ ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วห่วงโซ่อุปทานโลก โดยในสหราชอาณาจักร ดัชนี FTSE 100 ร่วงลงเกือบ 5% ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี ตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศส ต่างก็เผชิญแรงขายเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสำคัญทั้งสามของสหรัฐฯ ร่วงลงมากกว่า 5% โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่ลดลงเกือบ 6% ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2020
อย่างไรก็ตาม ในกรุงวอชิงตัน, นิวยอร์ก และเมืองใหญ่อื่น ๆ ทั่วประเทศสหรัฐฯ มีผู้ชุมนุมจำนวนมากออกมาประท้วงต่อนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการตัดงบประมาณของรัฐบาล
มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Doge) เรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรปมุ่งไปสู่การใช้ภาษีเป็นศูนย์ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรปกับอเมริกาเหนือ
สหภาพยุโรปจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 20% ภายใต้นโยบายใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ในวาระแรกของเขา ทรัมป์เคยปฏิเสธข้อตกลงการค้าเสรีกับยุโรป (TTIP)
ด้านนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้โทรศัพท์หารือกับผู้นำโลกหลายประเทศ หลังทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยแถลงการณ์ของอังกฤษ หลังการพูดคุยกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ทั้งสองเห็นพ้องกันว่า สงครามการค้าไม่เป็นผลดีต่อใคร และทุกทางเลือกยังคงเปิดอยู่
ทั้งสองผู้นำยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะที่จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากนโยบาย “ภาษีตอบโต้” ของทรัมป์ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งประกาศภาษีตอบโต้ 34% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับอัตราที่วอชิงตันใช้กับสินค้าจีน พร้อมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO)
กระทรวงการต่างประเทศของจีนออกแถลงการณ์ในวันถัดมา เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ หยุดใช้ภาษีเป็นอาวุธกดดันเศรษฐกิจและการค้าของจีน และหยุดบั่นทอนสิทธิในการพัฒนาอย่างชอบธรรมของประชาชนจีน
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในกรุงวอชิงตัน และทั่วทั้งสหรัฐฯ มีการคาดการณ์ว่า เกิดการชุมนุมประท้วงราว 1,200 จุด ถือเป็นการประท้วงในวันเดียวที่ใหญ่ที่สุดเพื่อต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ นับตั้งแต่ทำเนียบขาวประกาศการปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงการขยายอำนาจของฝ่ายบริหาร
แม้ทำเนียบขาวยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ตอบสนองต่อการประท้วง แต่ภาพถ่ายจากช่างภาพของสำนักข่าว AP ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่มสื่อมวลชนประจำของทำเนียบขาว เผยให้เห็นทรัมป์ถือหนังสือพิมพ์ New York Post โดยเปิดหน้าไปยังบทความที่เกี่ยวกับประเทศจีน