ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าเขาจะถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในการตัดความสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหประชาชาติ นับตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง โดยเขาได้วิพากษ์วิจารณ์ WHO มานานแล้ว และรัฐบาลของเขาได้ถอนตัวออกจากองค์กรอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่การระบาดของโควิด-19 ยังคงแพร่กระจายอยู่ในขณะนั้น
คำสั่งฝ่ายบริหารชุดใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์ อ้างว่าองค์การอนามัยโลกไม่สามารถจัดการและควบคุมการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ที่มีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน รวมถึงยังล้มเหลวในการจัดการวิกฤตด้านสุขภาพระดับโลกอื่น ๆ ที่สำคัญ WHO ยังไม่เป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองของประเทศสมาชิกบางแห่งที่มีอำนาจเหนือสหประชาชาติ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยแสดงความเห็นว่า WHO เรียกเก็บเงินจากสหรัฐฯ มากเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม
CNN รายงานว่า ดร.อชิช จา อดีตผู้ประสานงานตอบสนองโควิด-19 ของทำเนียบขาวในสมัยรัฐบาลของนายไบเดน กล่าวว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลกเป็น “กลยุทธ์ที่ผิดพลาด” เนื่องจาก WHO เป็นองค์กรที่มีความสำคัญมาก และเมื่ออเมริกาถอนตัวออกไป ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองที่ประเทศเดียวเท่านั้นที่จะเติมเต็มได้ และนั่นก็คือจีน เขากำหนดว่าจีนจะก้าวเข้ามาช่วยองค์กรในกรณีที่ไม่ได้รับเงินทุนและความเป็นผู้นำจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้จีนมีอิทธิพลทางการเมืองทั่วโลกมากขึ้น
จาเตือนว่าการถอนตัวออกจาก WHO จะทำให้องค์กรอ่อนแอลงด้วย เนื่องจาก WHO ต้องพึ่งพาบุคลากรและความเชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการติดตามโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก การถอนตัวออกจาก WHO โดยสมบูรณ์นั้นต้องใช้เวลาหนึ่งปี และสหรัฐฯ ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องให้เงินทุนสนับสนุนแก่ WHO ต่อไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปี
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสาบานตน โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อสั่งให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง คำสั่งของทรัมป์ระบุว่าข้อตกลงปารีสเป็นหนึ่งในข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่ได้สะท้อนถึงค่านิยมของสหรัฐฯ และบังคับให้เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ รั่วไหลไปยังประเทศที่ไม่ต้องการหรือไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ
ทรัมป์ยังลงนามในจดหมายถึงสหประชาชาติโดยระบุถึงความตั้งใจที่จะถอนตัวจากข้อตกลงปี 2015 ซึ่งอนุญาตให้ประเทศต่างๆ กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป้าหมายดังกล่าวคาดว่าจะเข้มงวดยิ่งขึ้นในอนาคต โดยประเทศต่าง ๆ จะต้องกำหนดเส้นตายสำหรับแผนใหม่ของแต่ละประเทศภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลไบเดนที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งได้เสนอแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐฯ ลงมากกว่า 60% ภายในปี 2035
ด้านลอเรนซ์ ทูเบียนา ซีอีโอของมูลนิธิสภาพอากาศยุโรปและผู้วางแผนหลักของข้อตกลงปารีส กล่าวว่าแผนการถอนตัวของสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่การดำเนินการเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมีพลังมากกว่าการเมืองและนโยบายของประเทศใดประเทศหนึ่ง เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าการตัดสินใจของทรัมป์ทำให้สหรัฐฯ พลาดโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจาก สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศคาดว่าตลาดโลกสำหรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่สำคัญจะเติบโตเป็นสามเท่าเป็นมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035
ทูเบียนามองว่า สหรัฐฯ เองก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพอากาศที่เลวร้ายลง เหตุการณ์ไฟป่าลอสแอนเจลิสที่รุนแรงเป็นเครื่องเตือนใจว่าชาวอเมริกันก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เลวร้ายลงเช่นเดียวกับคนทั่วไป