สำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้ รายงานการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองของกองทัพตะวันตกระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือที่ประจำการอยู่ในภูมิภาคเคิร์สค์เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1,000 นาย ระหว่างสู้รบกับกองกำลังยูเครนในภูมิภาคเคิร์สค์ เขตแนวหน้าทางตะวันตกของรัสเซีย โดยในบรรดากำลังทหารเกาหลีเหนือทั้งหมดประมาณ 11,000 นายที่ส่งไปเสริมกำลังในสงครามของรัสเซียกับยูเครน มีทหารเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย หรือถูกจับกุมถึง 4,000 นาย
รายงานดังกล่าวเปิดเผยออกมาหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หน่วยข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NIS) แจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาว่า ทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 300 นายเสียชีวิต ในขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกราว 2,700 นาย ตัวเลขทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บที่พุ่งสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสียอันรุนแรงที่เกาหลีเหนือโดยผู้นำสูงสุด คิม จองอึน ต้องจ่าย แลกกับการเปิดศึกกับสหรัฐฯ และการพัฒนาวิทยาการด้านยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะขีปนาวุธ
NIS ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นผลมาจากการขาดความเข้าใจในสงครามยุคใหม่ของกองทหารเกาหลีเหนือ รวมถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน เปิดเผยว่าทหารเกาหลีเหนือที่ถูกยูเครนจับกุมตัวบอกว่า พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองถูกส่งมารบในสนามจริง เข้าใจว่าเป็นเพียงการฝึกซ้อมทางทหารเท่านั้น
พันเอกแฮมิช เดอ เบรตตัน-กอร์ดอน อดีตผู้บัญชาการรถถังของกองทัพอังกฤษเปิดเผยกับ BBC ว่า กองกำลังเกาหลีเหนือ ซึ่งเชื่อว่าเป็นยอดฝีมือของประเทศภายใต้ชื่อ Storm Corps ดูเหมือนว่าจะถูกส่งเข้าสู่สนามรบโดยได้รับการฝึกฝนน้อยมาก กองกำลังเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับการฝึกฝนใด ๆ และยังต้องปฏิบัติตามคำสั่งของทหารรัสเซีย ซึ่งอาจมีอุปสรรคทางด้านภาษา เขาเปรียบว่านายทหารเหมือนถูกโยนเข้าเครื่องบดเนื้อ และทหารรัสเซียมองทหารเกาหลีเหนือเป็นแค่เหยื่อล่อ และไม่สนใจว่าจะเสียชีวิตหรือไม่
แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ได้กล่าวถึงการจัดการเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนมากนักในการกล่าวปราศรัยหลังพิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา แต่ล่าสุด ทรัมป์ได้โพสต์ขู่ผู้นำรัสเซียอย่างดุดันบน Truth Social ว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรและคว่ำบาตรรัสเซียให้หนัก หากวลาดิเมียร์ ปูติน ไม่สามารถยุติสงครามในยูเครนได้ และการที่เขาผลักดันให้ยุติสงครามนั้นถือเป็น "คุณประโยชน์ครั้งใหญ่" แก่รัสเซียและประธานาธิบดีของประเทศ ด้านรัสเซียยังไม่ได้ตอบสนองต่อคำขู่ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินเร็วๆ นี้และมีแนวโน้มว่าเขาจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมหากผู้นำรัสเซียไม่มาร่วมโต๊ะเจรจา
ก่อนหน้านี้ ปูตินกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาพร้อมที่จะเจรจายุติสงครามซึ่งเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2014 แต่ยูเครนจะต้องยอมรับความจริงที่ว่ารัสเซียได้ดินแดนคืนมาซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 20% ของดินแดนทั้งหมด นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธที่จะให้ยูเครนเข้าร่วมนาโตอีกด้วย ขณะที่ยูเครนไม่ต้องการสละดินแดนของประเทศ แม้ว่าประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี จะยอมรับว่าเขาอาจต้องยอมสละดินแดนบางส่วนที่ถูกยึดครองอยู่เป็นการชั่วคราวก็ตาม