ชาวอุยกูร์ที่ได้รับการส่งตัวจากไทย เดินทางถึงสนามบินที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนแล้ว โดยลงจากเครื่องบินและสวมกอดกับคนที่มารอรับ ก่อนจะขึ้นรถไป
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยเปิดเผยว่า ได้ส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีน ท่ามกลางคำเตือนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนว่าพวกเขาอาจเผชิญบทลงโทษที่อาจถึงแก่ชีวิต อย่างไรก็ตาม ไทยยืนยันว่า การส่งตัวกลับเป็นไปด้วยความสมัครใจ
ด้านโฆษกของโฆษกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHRC เปิดเผยว่า นายโวลเกอร์ เทิร์ก ผู้อำนวยการระบุว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนถือเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยทางหน่วยงานได้พยายามเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ไทยหลายครั้งให้เคารพภาระผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในการคุ้มครองบุคคลเหล่านี้ที่ต้องการการปกป้องระหว่างประเทศ และรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่พวกเขาถูกส่งตัวกลับด้วยการถูกบังคับ
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2014 มีห้าคนเสียชีวิตในระหว่างการกักขัง และเชื่อว่ายังมีอีกแปดคนที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่
เช่นเดียวกันกับสหรัฐฯ ที่ออกแถลงการณ์กรณีไทยผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ
เนื้อหาของแถลงการณ์ระบุว่า เราขอประณามอย่างถึงที่สุดต่อกรณีที่ไทยผลักดันชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในประเทศที่ตนไม่มีสิทธิเข้าถึงกระบวนการอันควรตามกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ชาวอุยกูร์เคยถูกข่มเหง บังคับใช้แรงงาน และทรมาน ในฐานะพันธมิตรอันยาวนานของไทย เรารู้สึกตระหนกกับการกระทำนี้ ซึ่งอาจขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมานานของชาวไทยในการปกป้องกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุด รวมถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอีกด้วย เราเรียกร้องรัฐบาลของทุกประเทศที่ชาวอุยกูร์เข้าไปอาศัยความคุ้มครอง ให้ไม่ผลักดันกลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์กลับประเทศจีน
จีน ภายใต้การกำหนดทิศทางและการควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยส่วนใหญ่มุ่งไปที่ชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นมุสลิม ตลอดจนชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนากลุ่มอื่นในซินเจียง เราขอให้ทางการจีนเปิดให้มีการตรวจสอบโดยถี่ถ้วนและสม่ำเสมอ เพื่อยืนยันถึงสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ รัฐบาลไทยต้องเรียกร้องให้ทางการจีนคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ รวมทั้งต้องพิสูจน์การดำเนินการดังกล่าวอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวหลังการประชุมร่วมกันกว่า 1 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (27 กุมภาพันธ์)
นายภูมิธรรมเปิดเผยว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลได้วางแผนไว้และดำเนินการตามกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อให้ชาวอุยกูร์กลับสู่ประเทศและพบกับครอบครัว พร้อมยืนยันว่าไทยไม่ต้องการกักตัวผู้ถูกส่งกลับและการร้องขอจากรัฐบาลจีนเป็นทางการ โดยบุคคลเหล่านี้ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง
เขายังกล่าวถึงการดูแลหลังจากส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนว่า ทางการไทยจะติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 วันแรก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จะเดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
นายภูมิธรรมได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การส่งตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยเคยส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์กลุ่มหนึ่งให้ประเทศตุรกีเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา และหลังจากนั้นก็พยายามหาประเทศที่สามารถรับกลุ่มชาวอุยกูร์ที่เหลือ แต่ไม่มีประเทศใดรับไป จนกระทั่งตอนนี้ทางการไทยเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในการส่งตัวผู้ต้องกักกลับประเทศของตัวเอง
เขายังยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับโดยสมัครใจ ส่วนการที่ต้องส่งตัวในช่วงกลางคืนและไม่เปิดเผยรายละเอียดนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและเข้าใจผิดในกระบวนการส่งตัว พร้อมทั้งมั่นใจว่า กระบวนการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ
ชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมที่พูดภาษาเตอร์กิก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ดำเนินการปราบปรามอย่างหนักต่อชาวอุยกูร์ โดยมุ่งหวังที่จะจำกัดและควบคุมการแสดงออกตามอัตลักษณ์ของพวกเขา การกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและมีลักษณะเป็นระบบ ซึ่งบางครั้งถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
การปฏิบัติที่โหดร้ายและไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์ รวมถึงการควบคุมตัวโดยพลการ การลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม การสอดแนมข้อมูลอย่างกว้างขวาง การบังคับใช้แรงงาน และการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเขา คาดการณ์ว่าในปัจจุบันยังมีชาวอุยกูร์ประมาณครึ่งล้านคนถูกกักขังภายใต้การปราบปรามนี้
นอกจากนี้ การดำเนินชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์ เช่น การทำละหมาดหรือการติดต่อกับญาติที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ กลับถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือแนวคิดสุดโต่งจากมุมมองของทางการจีน
ชาวอุยกูร์ที่พยายามหลบหนีออกจากประเทศจีนอย่างผิดกฎหมาย หากถูกส่งตัวกลับ จะเสี่ยงที่จะถูกควบคุมตัว ถูกสอบปากคำ หรือกลายเป็นเหยื่อของการทรมานและการกระทำที่โหดร้าย ซึ่งขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาหลายประการเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ในซินเจียง โดยชี้ว่า การปราบปรามและการควบคุมตัวชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับการก่อการร้าย และการต่อต้านกลุ่มผู้ก่อการร้ายในซินเจียง โดยอ้างว่ามีความพยายามของกลุ่มก่อการร้ายและการแยกดินแดนจากจีน ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาตรการในการป้องกัน
HRW, AFP, Reuters