18 มีนาคมศาลรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำสั่งขัดขวางแนวทางการทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และมหาเศรษฐีที่ปรึกษาอีลอน มัสก์ จากการแบนคนข้ามเพศออกจากกองทัพ และตัดงบประมาณกองทุน USAID กล่าวว่า ทั้งสองแนวทางละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
วันอังคารที่ 18 มีนาคม อานา เรเยส (Ana Reyes) ผู้พิพากษาของศาลรัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตัน ดีซี มีคำสั่งระงับคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กีดกันคนข้ามเพศจากการเข้ารับราชการทหารในกองทัพสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีแนวโน้มสิทธิการได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญของคนกลุ่มนี้
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์มีคำสั่งพิเศษพุ่งเป้าลบแนวคิดด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมกลุ่ม (DEI) ออกจากกองทัพ เพื่อคืนตำแหน่งให้อดีตทหารสหรัฐฯ ที่ถูกปลดประจำการไปเนื่องจากปฏิเสธการรับวัคซีนโควิด-19 ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
ในหมู่คำสั่งพิเศษหลายข้อดังกล่าว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุไว้ในตอนหนึ่งว่า “อัตลักษณ์ทางเพศ” ที่แตกต่างจากเพศกำเนิดของบุคคล นั่นไม่เป็นไปตามมาตราฐานทางทหาร และยังสั่งห้ามการใช่สรรพนามที่ “กุขึ้น” (invented) หมายถึงการใช้สรรพนามไม่ชี้ว่าเป็นเพศหญิงหรือชายอย่าง they/them หรือสรรพนามที่ไม่ตรงเพศกำเนิด– ในกองทัพอีกด้วย
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ กองทัพแถลงต่อเนื่องจากคำสั่งพิเศษของทรัมป์ว่า จะไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเข้าร่วมกองทัพอีกต่อไป และจะยกเลิกการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อแปลงเพศให้ทหาร ต่อมาในเดือนเดียวกัน กองทัพประกาศจะไล่สมาชิกคนข้ามเพศออกจากกองทัพ
อานา เรเยส ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวว่า “ความย้อนแย้งอันน่ากลัวก็คือ ทหารข้ามเพศในกองทัพหลายพันคนเสียสละ บางคนสละชีวิต เพื่อปกป้องผู้อื่นอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพพยายามกีดกันพวกเขาจากสิทธิเหล่านั้น” และชี้อีกว่า “ทหารข้ามเพศมีจิตวิญญาณนักรบ สุขภาพร่างกายและจิตใจ ความเสียสละ เกียรติยศ ความซื่อสัตย์ และระเบียบวินัย เพื่อให้มั่นใจถึงความเป็นเลิศทางการทหาร”
ทนายของรัฐบาลแย้งว่า กองทัพมีสิทธิที่จะปฏิเสธบุคคลที่มีสภาพบางประการไม่เหมาะสมรับใช้ในกองทัพ เช่น โรคไบโพลาร์ (bipolar disorder) และโรคการกินผิดปกติ (eating disorder) และชี้ว่าศาลควรให้สิทธิกองทัพในการปฏิเสธคนข้ามเพศที่ไม่มีรับใช้การทหาร
ในวันเดียวกัน (18 มีนาคม 2568) ผู้พิพากษาของศาลแขวงสหรัฐฯ ธีโอดอร์ ชวง ในแมรีแลนด์ยับยั้งมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์และกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาลในการปิดหน่วยงานช่วยเหลือระหว่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความตั้งใจของกระทรวงประสิทธิภาพฯ นั้นละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
“ศาลเห็นว่าการกระทำเพียงฝ่ายเดียวของจำเลย ที่จะปิดกองทุน USAID มีแนวโน้มที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ” ผู้พิพากษาชวงกล่าวและชี้ว่ากระทรวงประสิทธิภาพฯ ไม่สามารถหยุดยั้งการให้เงินช่วยเหลือของ USAID หรือเลิกจ้าง บังคับหยุดงานต่อพนักงานกองทุนได้อีก เขายังห้ามพนักงานของกระทรวงประสิทธิภาพฯ เป้นการชั่วคราวในการเปิดเผยข้อมูลเปราะบางขององค์กร ลดจำนวนพนักงานที่เกี่ยวข้องกับ USAID, ยกเลิกสัญญา, ปิดอาคาร และทำลายเอกสารของ USAID
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอได้ประกาศตัดงบประมาณกองทุนสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ถึง 83 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเป็นผลให้โครงการของ USAID ถึง 5,200 โครงการจาก 6,200 โครงการจะต้องปิดตัวลง
การตัดงบประมาณมหาศาลดังกล่าว เป็นผลพวงจากคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่จะระงับการให้ความช่วยเหลือกับต่างชาติ อ้างว่า ต้องการผลักดันแนวทางการทำงานแบบเสรีนิยมในระดับโลก
รูบิโอกล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สหรัฐฯ ได้ยกเลิกโครงการของโครงการการพัฒนาระหว่างประเทศแล้วถึง 80 โครงการหลังการตรวจสอบ 6 สัปดาห์ และอีกราว 1,000 โครงการที่เหลือ จะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจสอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศของทรัมป์ชั่วคราว 90 วันสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศ “อเมริกาต้องมาก่อน” การระงับส่งผลให้ลูกจ้างกองทุนต้องหยุดงานหรือถูกไล่ออก
ชวงไม่ได้สั่งระงับการเลิกจ้างลูกจ้างโครงการที่ได้รับผลกระทบทั่วโลก เพราะเขาเห็นว่าแม้มีแนวโน้มจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่การเลิกจ้างก็ได้รับความยินยอมจากพนักงานของรัฐบาลที่ไม่ได้มีชื่อปรากกฎในคดีความที่ถูกยื่น
นอร์ม ไอเซน ประธานกองทุนปกป้องประชาธิปไตยของรัฐและทนายความของโจทก์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน 26 คนของคดีนี้กล่าวว่า “การตัดสินวันนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่เรามีเหนืออีลอน มัสก์และ จากกระทรวงประสิทธิภาพที่โจมตี USAID โจมีรัฐบาลสหรัฐฯ และโจมตีรัฐธรรมนูญ”
มัสก์และกระทรวงประสิทธิภาพแย้งในศาลว่าบทบาทของมัสก์คือการให้คำแนะนำต่อทรัมป์เท่านั้น และเจ้าหน้าที่ขององค์กร ไม่ใช่ทั้งกระทรวงประสิทธิภาพที่เป็นผู้มีส่วนรับิดชอบต่อสิ่งที่โจทก์ท้าทาย ด้านชวงพบว่า มัสก์และกระทรวงประสิทธิภาพเป็นผู้ออกคำสั่งโดยตรง