รัฐสภาอินโดนีเซียแก้ไขกฎหมายตัวใหม่ ซึ่งจะเปิดทางให้กองทัพเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาล โดยเหล่านักวิจารณ์เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจจะทำให้อินโดนีเซียกลับไปสู่ยุคมืด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุคเผด็จการทหารของนายพลซูฮาร์โต ซึ่งปกครองอินโดนีเซียอย่างยาวนานถึง 32 ปี ก่อนจะถูกโค่นล้มอำนาจในปี 1998
การแก้ไขกฎหมาย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต อดีตผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษและลูกเขยของซูฮาร์โต จะเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทหารสามารถดำรงตำแหน่งในรัฐบาลได้โดยไม่ต้องลาออกหรือเกษียณจากกองทัพก่อน
นอกจากนี้ ยังเปิดทางให้ทหารที่ยังรับราชการอยู่สามารถเข้าดำรงตำแหน่งในหน่วยงานพลเรือนได้ถึง 14 แห่ง จากเดิมที่อนุญาตเพียง 10 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการปรับเพิ่มอายุเกษียณของทหารในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะนายพลสี่ดาว สามารถรับราชการได้จนถึงอายุ 63 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 60 ปี
แม้ว่าตลอด 25 ปีที่ผ่านมา จะมีความพยายามจำกัดบทบาทของกองทัพในทางการเมืองและการบริหารประเทศ แต่รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน Imparsial ระบุว่า ก่อนการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ทหารที่ยังรับราชการอยู่มากถึง 2,600 นาย ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานพลเรือนอยู่แล้ว
นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายร้อยคนได้ปักหลักชุมนุมนอกอาคารรัฐสภาตั้งแต่คืนวันพุธที่ผ่านมา (19 มีนาคม 68) เพื่อประท้วงการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
วิลสัน นักเคลื่อนไหวจากสมาคมครอบครัวผู้สูญหายแห่งอินโดนีเซีย (KontraS) เปิดเผยว่า แก่นแท้ของประชาธิปไตยคือกองทัพไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง กองทัพควรทำหน้าที่เพียงดูแลจัดการค่ายทหารและปกป้องประเทศเท่านั้น และนับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา ประชาธิปไตยของอินโดนีเซียถูกกัดกร่อนมาโดยตลอด และวันนี้ถือเป็นจุดสูงสุดของกระบวนการกัดกร่อน รัฐสภาได้สังหารประชาธิปไตย
สำหรับสมาคมครอบครัวผู้สูญหายแห่งอินโดนีเซีย เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักกิจกรรมที่ถูกบังคับให้สูญหายในช่วงการปราบปรามของรัฐบาลเผด็จการเมื่อปี 1997 และ 1998
นับจนถึงช่วงเย็นวันพฤหัสบดี จำนวนผู้ชุมนุมที่รวมกลุ่มประท้วงนอกอาคารรัฐสภาของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งพันคน โดยพวกเขาถือป้ายข้อความ เช่น “ส่งทหารกลับค่าย!” และ “ต่อต้านลัทธิทหารและระบอบอำนาจนิยม” ขณที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมดูแลสถานการณ์อยู่
เดดี ดินาร์โต หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านอินโดนีเซียจากบริษัทที่ปรึกษาด้านนโยบายสาธารณะ Global Counsel กล่าวว่า การแก้กฎหมายครั้งนี้เป็นสัญญาณของการรวมศูนย์อำนาจในวงกว้าง ภายใต้การบริหารรัฐบาลของประธานาธิบดีปราโบโว
เขายังชี้ให้เห็นว่า แม้แต่พรรคฝ่ายค้านหลักที่เคยคัดค้านในตอนแรก ก็กลับมาสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางการเมืองของประเทศ
สำหรับชาวอินโดนีเซียบางส่วนมองปราโบโวว่าเป็นตัวแทนของยุคอำนาจนิยม เขาเคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวนักเคลื่อนไหวในปี 1997 และ 1998
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีความกังวลว่าการกลับมาสู่อำนาจของปราโบโวในฐานะประธานาธิบดี จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอนประชาธิปไตยที่อินโดนีเซียต่อสู้มาอย่างยากลำบาก
นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปราโบโวได้ขยายบทบาทของกองทัพในภาครัฐอย่างต่อเนื่อง แต่ซาฟรี ซัมซูดิน รัฐมนตรีกลาโหม ได้ออกมาปกป้องการแก้กฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยีทางทหารระดับโลก ทำให้กองทัพต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความขัดแย้งทั้งแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มโต้แย้งว่า การเพิ่มบทบาทของกองทัพในกิจการสาธารณะนอกเหนือจากการป้องกันประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางและระบบบริหารที่โปร่งใส