เปิดเบื้องหลังลัทธิประหลาด "กะเทย 9 ชื่อ" ขังพยาบาลรีดเดือนละ 6 หมื่นสะกดเหยื่อตบลูก (คลิป)

18 ต.ค. 65

สืบเนื่องจากกรณีเหตุการณ์ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำหมายศาลบุกไปตรวจค้นห้องพัก ภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร หลังได้รับข้อความขอความช่วยเหลือที่ส่งต่อผ่านทางญาติผู้เสียหายว่า ถูกมิจฉาชีพหลอกมากักขัง ทำร้ายร่างกาย บังคับให้ทำงาน

322383

ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบุกช่วยเหยื่อ 5 ราย ประกอบด้วยอดีต 3 พยาบาลสาว และลูก หลังถูกผู้นำคลั่งลัทธิ ลวงใช้หนี้อุปโลกน์ 140 ล้านบาท ก่อนลงมือทำร้ายร่างกายสุดวิตถาร ทั้งโกนผม และลวกนํ้าร้อนอย่างทารุณนานกว่า 3 ปี โดยสามารถจับกุมตัว 2 ผู้ต้องหา คือนายฮารุ ฮวังสิริอายุ 39 ปี และนายตรีเพชรรัตน ณพชร อายุ 20 ปี ผู้นำลัทธิเถื่อนได้ในเวลาต่อมา

968945

ล่าสุด วันที่ 18 ต.ค. 65 บรรยากาศที่ สน.บวรมงคล ช่วงเช้าผู้ต้องหาทั้ง 2 รายถูกควบคุมตัวอยู่ภายในห้องขัง ไม่พบว่ามีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องเดินทางมาเยี่ยม หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะคุมตัวมาทำการสอบปากคำเพิ่มเติมโดยละเอียด มีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์มาร่วมสอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อวิเคราะห์ว่าจะเข้าข่ายข้อหาค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่

445872

การสอบสวน นายฮารุให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยอมรับเพียงว่าเทน้ำร้อนผู้เสียหายจริง เรื่องการสั่งให้ตบหน้าลูกนั้นไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีการเชิญชวนมาร่วมทำธุรกิจนั้น ไม่เคยชักชวนใคร เพียงแต่เสนอไอเดีย เห็นเหยื่อเป็นอดีตพยาบาลจึงชวนมาสายความสวยความงามและจะลงทุนให้ เพราะเห็นว่าเหยื่อเงินไม่พอใช้ในการเลี้ยงลูกทั้ง 2 คน ตนเคยทำงานกับยูนิเซฟ ทำหน้าที่เป็นรีเสิร์ชชิ่งที่เกาหลีใต้ และประเทศไทย ขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ที่ทางยูนิเซฟอนุมัติให้ทำ ทำธุรกิจเครื่องประดับออนไลน์ เช่น e-bay amazon และออนไลน์ทางฝั่งเกาหลีใต้ทั้งหมด เคยเรียนแฟชั่นและจิลเวลรี่ดีไซน์ แบบ certificate ของมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ เคยเรียนแพทย์ทางเลือกแบบผสมที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ยังไม่จบหลักสูตร เคยเป็นผู้ช่วยแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ในช่วงโควิดระบาดหนักอีกด้วย

685943

ขณะที่ทางด้านผู้เสียหายไปรู้จักกับมิจฉาชีพทั้ง 2 คน เป็นสาวประเภทสอง ที่อ้างตัวเป็นลูกครึ่งไทยเกาหลี มีธุรกิจเสริมความงาม และขายอาหารเสริม เข้ามาตีสนิทและชักชวนลงทุน ระหว่างนั้นหนึ่งในผู้เสียหายมีปัญหาทะเลาะกับทางบ้าน มิจฉาชีพทั้ง 2 คนก็ออกอุบายชักชวนไปอยู่ด้วยกัน สาบานเป็นพี่น้องกัน และให้ผู้เสียหายเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เป็นชื่อเดียวกัน เปลี่ยนชื่อเล่นไปใช้ชื่อตามอัญมณี อ้างว่าเพื่อเสริมดวงชะตา ใช้การดูดวงชี้นำผู้เสียหายคล้ายลัทธิ แล้วชวนให้ลงทุนในธุรกิจขายอาหารเสริม หลอกว่าจะออกเงินทุนให้ก่อน 140 ล้านบาท ก่อนจะอ้างสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ขาดทุน บังคับให้ทั้งหมดช่วยกันทำงานขายอาหารเสริมเพื่อหาเงินใช้หนี้

264395646703

โดยมีเป้าหมายต้องหาเงินให้ได้วันละ 60,000 บาท หากหาเงินไม่ได้ก็จะทำร้ายร่างกาย จนระยะหลังเริ่มข่มขู่ให้ทำร้ายเด็กทั้ง 2 คนแทน จนผู้เสียหายทนไม่ไหวตัดสินใจส่งข้อความพร้อมรูปถ่ายไปขอความช่วยเหลือกับญาติ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าตลอด 3 ปี ที่ถูกหลอกให้มาทำงาน ผู้เสียหายได้ขายทรัพย์ต่าง ๆ ที่มี เช่น บ้าน ที่ดิน ที่นา คอนโดมิเนียม และทรัพย์สินต่าง ๆ รวมความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้หนี้ที่ถูกหลอก

286555

ต่อมา เจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน เดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสอบถามข้อมูลว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายการบังคับใช้แรงงานหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีการค้ามนุษย์ หากมีการบังคับใช่แรงงาน ขู่ให้กลัว ก็จะเข้าองค์ประกอบการค้ามนุษย์ แต่ทั้งนี้ ต้องสอบร่วมกับสหวิชาชีพเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจากการติดตามข่าว เชื่อว่ามีการบังคับ ส่วนแนวทางช่วยเหลือผู้เสียหาย ต้องมีการหารือกับกระทรวงอีกครั้ง

335044

ต่อมาเวลา 14.40 น. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบวรมงคลควบคุมตัวนายฮารุ และนายตรีเพชรรัตน ผู้ต้องหาไปฝากขัง ศาลอาญาตลิ่งชัน โดยคัดค้านการประกันตัว "นายฮารุ ฮวังสิริ" อายุ 39 ปี โดนตั้งข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นได้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น”

ส่วน "นายตรีเพชรรัตน ณพชร" อายุ 20 ปี โดนตั้งข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นได้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น”

ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองนำตัวทางผู้ต้องหาทั้ง 2 รายขึ้นรถนั้น ทีมข่าวมีการสอบถามและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร มีการหลอกลงทุนอย่างไร ตลอดจนเรื่องของลัทธิว่าเป็นอย่างไร ทางเจ้าตัวเองไม่ตอบก่อนจะก้มหน้า และคลุมหัวเดินขึ้นรถคุมขังตามปกติ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการคุมตัวผู้ต้องหา ตำรวจเองได้มีการนำในส่วนวัตถุหรือรูปปั้นคล้ายเทพที่ทางผู้ก่อเหตุนับถือ และศรัทธา ตลอดจนในส่วนของเครื่องรางของขลังจำนวนหนึ่งที่พบภายในห้อง จะมีการบรรจุภายในกระเป๋าลาก ตลอดจนมีรูปปั้นลักษณะคล้ายสีเขียว

149178

ส่วนของการดำเนินคดีนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยจะทยอยเรียกตัวผู้เสียหาย เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มีรายงานว่าหลังจากควบคุมตัว "นายฮารุ" และ "นายตรีเพชรรัตน" มาสอบปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล "นายฮารุ" ยังคงไม่ให้การใด ๆ เกี่ยวกับคดี ขณะที่การสอบปากคำนายตรีเพชรรัตน ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายฮารุตั้งรูปแบบการหลอกลงทุนฉ้อโกงผู้เสียหาย ตระเวนพาผู้เสียหายแม่ลูกไปขอเงิน และมีการลงโทษผู้เสียหาย ที่ผ่านมารับทราบพฤติการณ์ของนายฮารุมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถห้ามปรามได้

จากการตรวจสอบประวัติของนายฮารุ พบว่ามีคดีที่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงหลายคดี หลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ล่าสุด มีผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ เข้ามาดูตัวผู้ต้องหา และแจ้งความแล้วประมาณ 20 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางการแพทย์จาก 3–4 โรงพยาบาล ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งการที่ผู้ต้องหาเข้าถึงกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ได้จำนวนมาก เนื่องจากมารดาของผู้ต้องหาเคยเป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลต่างจังหวัดมาก่อน ส่วนรูปแบบการหลอกลวงฉ้อโกงของนายฮารุเป็นการใช้จิตวิทยาหมู่ กล่อมผู้เสียหายแต่ละคนให้ดูน่าเชื่อถือจนเกิดความหลงเชื่อ ส่วนเรื่องลัทธิประหลาดที่เจ้าตัวอ้างถึง ตำรวจเชื่อว่าเป็นเพียงข้ออ้างให้การชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ

919670

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าทาง "นายฮารุ" เคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วกว่า 9 ชื่อ คือ 1.พิศณุ พีรพรวิพุธ, 2.ธีรภัทร พีรพรวิพุธ, 3.อภิชญา พีรพรวิพุธ, 4. อริสรา เดชาสิริสกุล, 5.ฮารุ นางาสิริ, 6.เพชรพลอยแพรวา ศรีโสภาสิริ, 7.ยูรา ศรีโสภาสิริ, 8.เกสรา ฮวังสิริ, 9.ฮารุ ฮวังสิริ

จากการตรวจสอบพบว่า "นายฮารุ" เป็นบุคคลตามหมายจับของศาลแขวงธนบุรีที่ 173/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 62 ข้อหา “ฉ้อโกง” และยังพบประวัติการกระทำความผิดในพื้นที่ สน.ทองหล่อ ในปี 2557 ข้อหา “ฉ้อโกง” ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า “ยูรา ศรีโสภาสิริ”

575162861696

ขณะที่มีหลักฐานที่ น.ส.ไพริน ผู้เสียหาย แชตบอกสามีถึงเรื่องราวดังกล่าวว่าถูกทำร้าย และให้ทำร้ายลูก จึงนำไปสู่การช่วยเหลือในที่สุด

826766

ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถนนรังสิต-นครนายก คลอง 7 ธัญบุรี จ.ปทุมธานี แม่และน้องชายของ 1 ใน 3 พยาบาลสาวเข้าพบ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอช่วยติดตามคดีขอลูกสาวให้ถึงที่สุด โดยนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ กล่าวว่า หลังจากนายแบงค์พ่อและอดีตสามีของพยาบาลมาร้องเรียน ขอให้มูลนิธิช่วย จึงมีการประสานกับตำรวจประสาน รอง ผบ.ตร. ให้ช่วย ก่อนสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง และร้อง บช.น. จนกระทั่งผู้เสียหายได้บอกพิกัด เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 65 บอกเลขห้องและที่อยู่ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ตำรวจทำงานง่ายขึ้น กระทั่งไปจับตัวคนร้าย พาผู้เสียหายส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ

นอกจากนี้ วันนี้ยายของน้องสองคนและน้า ได้เดินทางมาที่มูลนิธิ ให้ช่วยติดตามคดี และเป็นห่วงหลานมาก ล่าสุดหลาน 2 คนดีขึ้นมาก ส่วนพยาบาลก็ยังซึมเศร้า และเสียใจกับสิ่งที่ทำกับลูก โดยวันพรุ่งนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะนัดหมายให้ไปพบและพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับการสอบสวน จากนั้นวันพฤหัสบดี 20 ต.ค. 65 จะมีการนัดสหวิชาชีพ ศูนย์พึ่งได้ฯ พม. มาประชุมกัน ตนเองจะเดินทางไปด้วย เพื่อให้ดูว่าเด็กพร้อมกับมาอยู่กับครอบครัวหรือไม่ รวมถึงการฟิ้นฟูสภาพจิตใจต่อไป

897813

ขณะที่แม่และน้องชายของ น.ส.ไพลิน ผู้เสียหาย ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อปี 2563 ลูกสาวบอกว่าจะไปทำธุรกิจระดับประเทศ โดยช่วงแรกก็แต่งตัวแต่งหน้าสวย ต่อมาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไปเพราะหลังจากที่เริ่มไปอยู่กับคนร้าย ก็เริ่มเก็บตัว มีการพูดคุยกับแม่แต่ทางไลน์เท่านั้น ไม่ยอมให้เจอหลาน ไม่ยอมถ่ายรูปหลานให้ดู แม่เคยไปหาที่คอนโดฯ ก็แค่ได้พูดคุยกับยาม โทรศัพท์หาลูกสาวก็ไม่รับ

951966

โดยที่ผ่านมา ก็ยังเคยขอยืมเงินครอบครัว แม่ให้เงินไปประมาณ 200,000 บาท ส่วนคนอื่นในครอบครัวให้ไปหลักหมื่นบาท ที่โอนไปเพราะสงสารหลาน เรื่องลัทธิตนเองไม่เชื่ออยู่แล้ว มองว่าเป็นการล่อลวงของคนร้ายมากกว่า พอรู้ว่าลูกสาวและหลานถูกทำร้ายก็รู้สึกเสียใจมาก ตนเองไม่ทราบมาก่อนเลยว่าหลานและลูกถูกกระทำแบบนี้ ยืนยันจะดำเนินคดีกับคนร้ายอย่างถึงที่สุด ล่าสุดยังไม่ได้พบกับทั้ง 3 คน แต่ขอให้สุขภาพแข็งแรง พระคุ้มครอง

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม