เมีย ร้องเป็นหนึ่ง ถูกสามีทำร้ายปมจะพาผู้หญิงใหม่เข้าบ้าน

13 มิ.ย. 67

เมีย ร้องเป็นหนึ่ง ถูกสามีทำร้าย ปมจะพาผู้หญิงใหม่เข้าบ้าน พอขอเลิกก็ไม่ยอม ยังตามไปฉุดทุบตีเขียวช้ำทั้งตัว

 

วันที่ 13 มิถุนายน 2567 วันนี้นางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ จากมูลนิธิเป็นหนึ่ง ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงสาวรายหนึ่ง ที่ขอความช่วยเหลือ ในพื้นที่ซอยคลองหนองใหญ่ เขตบางแค กรุงเทพ

ซึ่งเธอถูกสามีที่อยู่กินกันมา 17 ปี ทำร้ายร่างกาย มีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พยายามจะเลิกราหลายครั้ง แต่ก็โดนสามีตามคุกคาม อาละวาดทำร้ายร่างกาย ทุบทำลายข้าวของ ทุบทำลายรถของเธอจนเสียหาย

ก่อนที่มูลนิธิเป็นหนึ่งจะเข้าพื้นที่ ปรากฏว่าทางผู้กำกับสน.เพชรเกษม ได้เรียกผู้เสียหาย เข้ามาพูดคุยกันกับเจ้าหน้าที่พม. เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้เสียหายและลูก

โดยสื่อมวลชนไม่ได้รับอนุญาติให้อยู่ในห้องประชุม มีเพจคุณต้นอ้อ เป็นหนึ่งเท่านั้นที่ได้อยู่ในห้องประชุม

หลังการประชุมเสร็จแล้ว ทางนางสาวแอน (นามสมมติ) อายุ 37 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตัวเองกับสามีอยู่ด้วยกันมา 17 ปี ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีลูกผู้ชายด้วยกัน 1 คน อายุ 4 ขวบ 11 เดือน

ตลอด 4 ถึง 5 ปีมานี้ ถูกสามีทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก ล่าสุดคือ โดนทำร้ายจนขอบตาเขียวช้ำ แต่เขาไม่เคยทำร้ายลูก สาเหตุของการทำร้ายมาจาก สามีแอบไปมีชู้ แล้วตัวเองก็รับไม่ได้ พอตัวเองจะก้าวออกไปไม่ขออยู่ด้วย สามีก็ตามมาราวี ไม่ยอมให้ออกไป

ตอนที่ทำร้ายร่างกาย สามีอยู่ในอาการมึนเมาในบางครั้ง แต่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพ ที่ร้องขอความช่วยเหลือ เพราะรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว อยากกลับไปทำงานหาเงิน แต่พอออกไปใช้ชีวิตข้างนอก สามีก็จะตามไปฉุดไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับสามี เคยไปคุยกับครอบครัวฝ่ายสามีแล้ว ว่าขอออกมาได้หรือไม่ ครอบครัวสามีก็ให้ออกมาจากบ้าน แต่พอออกมาจากบ้านจริงๆ สามีก็ตามมาราวี ฉุดกลับไปอีกเหมือนเดิม

ส่วนเรื่องของสถานะ ตอนนี้คือเลิกกันแล้ว แต่ยังอยู่บ้านของฝ่ายชาย เพราะยังไม่มีที่ไป ยืนยันว่าไม่มีทางที่จะกลับไปคืนดีกันได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ไม่ให้เกิดการคุกตามกันอีก อยากกลับไปขายของหาเงินเลี้ยงชีพแล้ว

นางสาวแอน ผู้เสียหาย ยังเปิดเผยอีกว่า คลิปที่สามีเอาหินมาวางไว้ที่รถแล้วก็ทุบรถ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุนี้ ตนเองหนีออกจากบ้านมา แล้วฝ่ายชายมาเจอรถ แล้วก็ก่อเหตุนี้เพื่อข่มขู่ 

1718277642174

เรื่องทั้งหมดมาจาก ฝ่ายสามีไปมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จึงทำให้ครอบครัวพัง ซึ่งผู้หญิงคนนี้ มารู้ทีหลังว่าเธอเป็นภรรยาของชายคนนี้ ส่วนฝ่ายชายก็ไม่ยอมหาทางออก ไม่ยอมเลิกรากันไปให้จบ ทั้งๆที่ตัวเอง พยายามที่จะถอย

ครั้งล่าสุดที่ตัวเองหนีออกมาจากบ้าน ฝ่ายสามีมาง้อ และสัญญาเอาไว้ว่าจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนี้ ให้กลับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก เคยยื่นข้อเสนอว่าขอมีผู้หญิงทั้งสองคนได้หรือไม่ แต่ตัวเองไม่สามารถยอมรับได้ จึงพยายามที่จะออกมา แต่สามีก็พยายามดึงกลับไปเหมือนเดิม

ด้านต้นอ้อ ชลิดา เผยว่า ขณะนี้ฝ่ายหญิงยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย แต่ในการใช้ชีวิตในฉันสามีภรรยาของทั้งคู่มันจบลงแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้ฝ่ายหญิงยังไม่มีที่อยู่ จึงยังไม่สามารถย้ายออกไปอยู่ที่อื่นได้

โดยก่อนหน้านี้ฝ่ายหญิงได้มีร้านธุรกิจอย่างหนึ่งอยู่ภายในห้าง แต่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำงานได้เพราะฝ่ายชายมักจะไปคุกคามราวีฝ่ายหญิงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายหญิงก็เคยพยายามบอกเลิกหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล บางครั้งฝ่ายชายถึงขั้นตามไปทุบรถทำลายทรัพย์สินของฝ่ายหญิงจนได้รับความเสียหาย จึงทำให้ฝ่ายหญิงไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ มีความกังวลหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนั้น ฝ่ายชายได้มีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายฝ่ายหญิง จนเบ้าตาเขียวช้ำ จึงทำให้ เป็นจุดที่ฝ่ายหญิงร้องขอความช่วยเหลือมายังทางยังมูลนิธิเป็นหนึ่ง

หลังจากนี้ทางเจ้าที่ตำรวจจะมีการเรียกตัวฝ่ายชายมาพูดคุยเพื่อไกล่เกลี่ย และต้องการให้ฝ่ายชายยอมเลิกรากับฝ่ายหญิงอย่างเด็ดขาด ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกันแต่อย่างใด ในส่วนประเด็นของลูกชายนั้นก็ต้องปล่อยว่ากันไปตามกฏหมาย สำหรับในเรื่องของคดีความนั้น ผู้เสียหายยืนยันจะไม่มีการยอมความแต่อย่างใด

ด้านพันตำรวจเอกปราโมทย์ ผู้กำกับ สน.เพชรเกษม ระบุว่า กรณีนี้ไม่ได้มีเรื่องยุ่งยากเพราะเป็นเรื่องของความรุนแรงในครอบครัว โดยตั้งแต่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามกฏหมาย โดยส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย และ ให้พนักงานสอบสวนโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี แต่ผู้เสียหายไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะคิดว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์

และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือเด็ก ซึ่งปัจจุบันมีอายุเพียง 4 ปีเท่านััน

ซึ่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกต้องตกอยู่กับแม่โดยชอบธรรมทางกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนของพ่อจะได้มากน้อยแค่ไหน เชื่อว่าจะสามารถตกลงกันได้

ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน ขณะนี้เหลือเพียงแค่ผลตรวจร่างกาย ก็จะสามารถนำมาประกอบการการดำเนินคดีทำร้ายร่างกายได้ เนื่องจากผู้เสียหายไม่ต้องการไกล่เกลี่ย

ส่วนเรื่องการดูแลความปลอดภัยของผู้เสียหาย ต้องมีการเว้นระยะห่างเนื่องจาก ทั้งคู่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฏหมายแต่สิทธิ์ในการไปรับลูกหรือพบลูกยังคงทำได้ อย่างไรก็ตามมองว่าน่าจะตกลงกันได้หลังจากได้พูดคุยกันแล้ว.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส