ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทาย อุตสาหกรรมสื่อก็เช่นกัน ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ล่าสุด ช่อง 3 หนึ่งในผู้นำสถานีโทรทัศน์ของไทย ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัว และสร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่ดุเดือด
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกผลประกอบการของช่อง 3 ในไตรมาส 3/67 พร้อมวิเคราะห์กลยุทธ์ และความท้าทายที่ช่อง 3 กำลังเผชิญ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงทิศทาง และอนาคตของธุรกิจสื่อในยุคดิจิทัล
แม้เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจซบเซาและกำลังซื้อผู้บริโภคที่หดตัว ช่อง 3 ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์รายได้ โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการรวม 1,068.4 ล้านบาท ลดลง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรประจำไตรมาสอยู่ที่ 45.9 ล้านบาท
ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศ เช่น กำลังซื้อของภาคเอกชนที่ลดลง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ระมัดระวังในการใช้จ่ายงบประมาณด้านการโฆษณา
จากสถานการณ์ดังกล่าว รายได้จากการขายเวลาโฆษณาของช่อง 3 ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 815.7 ล้านบาท ลดลง 11.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
ท่ามกลางความท้าทาย ช่อง 3 ยังคงมองหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ โดยเฉพาะจากการต่อยอดความสำเร็จของละคร ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดแฟนมีตติ้ง คอนเสิร์ต และการจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศ ผ่านการจำหน่ายลิขสิทธิ์ละคร และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง
โดยรายได้จากการให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่นๆ ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 249.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.8% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 28.0% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักมาจาก ธุรกิจการจัดจำหน่ายละครไปต่างประเทศ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม และธุรกิจจัดกิจกรรมและบริหารศิลปิน ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น "DHEVAPROM FAN CON AFTER PARTY" และ "Dear my love LING&ORM"
ในไตรมาส 3 ปี 2567 ช่อง 3 ได้ดำเนินการพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1.บุกตลาดต่างประเทศ ขยายฐานผู้ชมด้วยคอนเทนต์คุณภาพ
ช่อง 3 มุ่งขยายธุรกิจการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ละครในต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก นำเสนอคอนเทนต์คุณภาพที่ได้รับความนิยมอย่างสูง อาทิ ละครชุด "ดวงใจเทวพรหม" ตอน "พรชีวัน" "น่านฟ้าชลาลัย" "โลกหมุนรอบเธอ" และ "หนึ่งในร้อย" ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมต่างประเทศ สะท้อนถึงศักยภาพของช่อง 3 ในการผลิตคอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชมทั่วโลก
2.เสริมแกร่งแพลตฟอร์มดิจิทัล "3Plus" ร่วมมือ Lazada ขยายฐานสมาชิก
ช่อง 3 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล "3Plus" อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้ ได้ผนึกกำลังกับ Lazada ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ในการจัดแคมเปญการตลาด ซึ่งประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังบริหารจัดการงบประมาณด้านสื่อการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด และพัฒนา "3Plus Premium" ด้วยกลยุทธ์การคัดสรรคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตของจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 10% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน
พร้อมกันนี้ ช่อง 3 ยังได้จัดกิจกรรมสุดพิเศษ เช่น "DHEVAPROM FAN CON AFTER PARTY" และ "DEAR my love LING&ORM" ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิก 3Plus รับชมผ่านไลฟ์สตรีมมิ่ง สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ และเสริมสร้างความผูกพันกับแบรนด์
3."ธี่หยด 2" สานต่อความสำเร็จ กวาดรายได้ถล่มทลาย
จากกระแสตอบรับอันล้นหลามของภาพยนตร์ "ธี่หยด" ในปี 2566 ที่ทำรายได้ทะลุ 400 ล้านบาท ช่อง 3 จึงเดินหน้าสร้าง "ธี่หยด 2" เข้าฉายในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างร้อนแรง ทำลายสถิติรายได้เปิดตัวสูงสุดอันดับ 1 ของปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพของช่อง 3
4.กิจกรรม Fan Meet กระชับความสัมพันธ์ พร้อมเปิดตัวธุรกิจบริหารศิลปิน
ช่อง 3 จัดกิจกรรม Fan Meet เพื่อต่อยอดความสำเร็จของละคร และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับแฟนคลับ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น "DHEVAPROM FAN CON AFTER PARTY" และ "DEAR my love LING&ORM Fan Meeting 2024" ซึ่งทุกกิจกรรมได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น และประสบความสำเร็จในการจำหน่ายบัตรชมการแสดงออนไลน์
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังได้ริเริ่มธุรกิจบริหารศิลปิน โดยมีนักแสดงดาวรุ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น หลิงหลิง คอง, ออม กรณ์ภัส และ เทศน์ ไมรอน ซึ่งถือเป็นการขยายธุรกิจสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ
5.จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ตอบแทนผู้ถือหุ้น
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 80 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 5 กันยายน 2567
งบกำไรขาดทุน | ไตรมาส 3/2567 ล้านบาท | ไตรมาส 3/2566 ล้านบาท | ไตรมาส 2/2567 ล้านบาท | YoY | QoQ |
รายได้จากการดำเนินงาน* | 1,068.40 | 1,113.70 | 1,109.70 | (45.3) -4.1% | (41.4) -3.7% |
- รายได้จากการขายเวลาโฆษณา | 815.7 | 919.1 | 924.9 | (103.4) -11.3% | (109.2) -11.8% |
- รายได้จากการให้ใช้สิทธิ์และบริการอื่น | 249 | 194.6 | 183.4 | 54.4 28.0% | 65.6 35.8% |
- รายได้จากการขายสินค้า | 3.7 | - | 1.5 | 3.7 0.0% | 2.2 147.3% |
ต้นทุนรวม | -820 | -821.5 | -843.2 | (1.5) -0.2% | (23.3) -2.8% |
- ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการ | -820 | -821.5 | -843.2 | (1.5) -0.2% | (23.3) -2.8% |
กำไรขั้นต้น | 248.4 | 292.2 | 266.5 | (43.7) -15.0% | (18.1) -6.8% |
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร | -183.9 | -229.8 | -173.3 | (45.9) -20.0% | 10.7 6.2% |
- รายได้อื่น | 1.4 | 2.4 | 1 | (1.0) -41.0% | 0.4 36.6% |
- กลับรายการ(ขาดทุนจากการด้อยค่า)ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 | -0.7 | 1.3 | 0.7 | (2.0) -152.1% | (1.4) -193.7% |
- ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้า | -4.1 | 0 | 6 | (4.1) -37390.9% | (10.1) -168.4% |
กำไรก่อนดอกเบี้ย และภาษีเงินได้ (EBIT) | 61.1 | 66.1 | 101 | (4.9) -7.5% | (39.9) -39.5% |
- รายได้ทางการเงิน | 14 | 9.5 | 13.4 | 4.5 47.9% | 0.6 4.6% |
- ค่าใช้จ่ายทางการเงิน | -26.9 | -27.6 | -26.9 | (0.7) -2.6% | 0.0 0.2% |
กำไร (ขาดทุน) ก่อนภาษีเงินได้ | 48.2 | 47.9 | 87.5 | 0.3 0.7% | (39.3) -44.9% |
- ค่าใช้จ่ายทางภาษีเงินได้ | -2.3 | -10 | -16.1 | (7.7) -77.1% | (13.8) -85.8% |
- กำไร (ขาดทุน) สำหรับงวด | 45.9 | 37.9 | 71.4 | 8.0 21.2% | (25.5) -35.7% |
กำไร (ขาดทุน) ส่วนที่เป็นของ BEC World | 45.9 | 37.9 | 71.4 | 8.0 21.2% | (25.5) -35.7% |
- ส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม | 0 | 0 | 0 | 0.00% | 0.0 50.0% |
รายได้จากการดำเนินงาน : ในไตรมาสที่ 3/2567 บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 1,068.4 ล้านบาท ตัวเลขนี้ปรับตัวลดลง 41.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2567 และลดลง 45.3 ล้านบาท หรือ 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาสที่ 3/2566) รายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากการขายเวลาโฆษณา ซึ่งคิดเป็น 76.3% ของรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด โดยส่วนใหญ่มาจากการขายเวลาโฆษณาของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ต้นทุนขาย : ต้นทุนขายรวมของบริษัทในไตรมาสที่ 3/2567 อยู่ที่ 820.0 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 23.3 ล้านบาท หรือ 2.8% จากไตรมาสที่ 2/2567 และลดลงเล็กน้อยเพียง 1.5 ล้านบาท หรือ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2566 แม้ว่าบริษัทจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากธุรกิจจัดกิจกรรมพบปะแฟนคลับและบริหารศิลปิน แต่การนำละครรีรันมาออกอากาศมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนขายรวมลดลง
กำไรขั้นต้น : กำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาสที่ 3/2567 อยู่ที่ 248.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 23.3% เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานปรับตัวลดลงมากกว่าต้นทุนขาย ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง 18.1 ล้านบาท หรือ 6.8% จากไตรมาสที่ 2/2567 และลดลง 43.7 ล้านบาท หรือ 15.0% จากไตรมาสที่ 3/2566
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร : สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสที่ 3/2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 183.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7 ล้านบาท หรือ 6.2% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 45.9 ล้านบาท หรือ 20.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2566 การลดลงนี้เป็นผลมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายกิจกรรมทางการตลาด ประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมการขายละครโทรทัศน์ให้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น สอดคล้องกับรายได้ที่ปรับตัวลดลง
ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า : ในไตรมาสที่ 3/2567 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้า บริษัท เมเจอร์ จอยน์ ฟิล์ม จำกัด และ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด จำนวน 4.1 ล้านบาท จากภาพยนตร์เรื่อง "มานะแมน" ในขณะที่ไตรมาสก่อนหน้า บริษัทมีกำไร 6.00 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ “ธีหยด" ให้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศ
ค่าใช้จ่ายทางภาษี : ค่าใช้จ่ายทางภาษีเงินได้ของบริษัทในไตรมาสที่ 3/2567 อยู่ที่ 2.3 ล้านบาท ลดลง 13.8 ล้านบาทจากไตรมาสที่ 2/2567 และลดลง 7.7 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 3/2566 สาเหตุหลักมาจากผลกำไรที่ปรับตัวลดลง
สรุปภาพรวมผลประกอบการ กลุ่ม BEC มีกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 3/2567 จำนวน 45.9 ล้านบาท ลดลง 25.5 ล้านบาท หรือ 35.7% จากไตรมาสที่ 2/2567 แต่เพิ่มขึ้น 8.0 ล้านบาท หรือ 21.2% จากไตรมาสที่ 3/2566 ทั้งนี้ กลุ่ม BEC ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในวันที่ 5 กันยายน 2567 เป็นจำนวนเงินรวม 80 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2567 กลุ่ม BEC มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในงบแสดงฐานะการเงินรวมอยู่ที่ 4,323.2 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน 1,397.9 ล้านบาท
แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) จะเผชิญกับแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ผลประกอบการดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการปรับตัวและแสวงหารายได้จากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการขยายฐานผู้ชมในตลาดต่างประเทศ ผ่านการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์คุณภาพ, การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล "3Plus" เพื่อขยายฐานสมาชิก, การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และการต่อยอดธุรกิจสู่การบริหารศิลปิน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่บริษัทฯ จำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องควรติดตามข่าวสารและศึกษาข้อมูลผลประกอบการของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทิศทางและศักยภาพขององค์กร อันจะนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่เหมาะสม