อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก จากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ราคาน้ำมันพุ่งสูง และผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ส่งผลให้สายการบินทั่วโลกต้องปรับตัวครั้งใหญ่ และผู้ผลิตอากาศยานรายสำคัญอย่าง "โบอิ้ง" ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้
ล่าสุด โบอิ้งประกาศแผนปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรับมือกับความท้าทาย และความไม่แน่นอนต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นที่การลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ บทความนี้จะพาคุณไปดูเบื้องหลังการปรับลดพนักงานของโบอิ้ง วิเคราะห์ผลกระทบ และความท้าทายที่บริษัทต้องเผชิญ รวมถึงแนวทางการปรับตัวเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในระยะยาว
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอากาศยานรายนี้ ยืนยันว่า พนักงานประมาณ 17,000 คน ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากแผนการปรับลดกำลังคนดังกล่าว ได้รับแจ้งการเลิกจ้างแล้วในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าพนักงานกลุ่มนี้จะต้องออกจากบริษัทภายในช่วงกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ การเลิกจ้างครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ประท้วงหยุดงานของสหภาพแรงงาน และคิดเป็นสัดส่วน 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของโบอิ้ง
โบอิ้งได้ออกแถลงการณ์ต่อ FOX Business ว่า "บริษัทกำลังดำเนินการปรับระดับกำลังคนให้สอดคล้องกับสถานภาพทางการเงินในปัจจุบัน และเพื่อให้เกิดการมุ่งเน้นที่กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัท"
ก่อนหน้านี้ นายเคลลี ออร์ทเบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้แจ้งต่อพนักงานผ่านบันทึกข้อความภายในว่า การลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้จะครอบคลุมพนักงานทุกระดับ ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ผู้จัดการ และพนักงานทั่วไป
นายเคลลี ออร์ทเบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโบอิ้ง ได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทว่า "ธุรกิจของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงกลยุทธ์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการดำเนินงานโดยรวม" พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
โดยระบุว่า "สถานการณ์เช่นนี้ บริษัทจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรในเชิงรุก เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินในระยะยาว"
ทั้งนี้ โบอิ้ง ซึ่งมีพนักงานทั่วโลกกว่า 170,000 คน ได้ประกาศยุติสายการผลิตเครื่องบินรุ่น 767 ภายในปี 2027 หลังจากดำเนินการส่งมอบเครื่องบินตามคำสั่งซื้อจำนวน 29 ลำที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประกาศเลื่อนกำหนดการเปิดตัวเครื่องบินรุ่น 777X ออกไปเป็นปี 2026 จากเดิมที่วางแผนไว้ในปี 2025 โดยการเลื่อนกำหนดการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการตรวจพบข้อบกพร่องของชิ้นส่วนบางรายการ ซึ่งส่งผลให้ต้องระงับเที่ยวบินทดสอบก่อนหน้านี้
การปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโบอิ้งในการรับมือกับความท้าทาย และการปรับตัวให้เท่าทันกับพลวัตของอุตสาหกรรมการบินโลก เพื่อสร้างความยั่งยืน และความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในอนาคต
บริษัทโบอิ้ง ผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำของโลก ประสบภาวะวิกฤตจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานจำนวน 33,000 คน ในเขตเมืองซีแอตเทิล ส่งผลให้สายการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 Max ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นที่สร้างรายได้หลัก รวมถึงรุ่น 777 และ 767 ต้องหยุดชะงัก โดยสาเหตุหลักของการประท้วงเกิดจากข้อพิพาทในสัญญาจ้างงานฉบับใหม่ ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบกับเงื่อนไขที่บริษัทเสนอ
ทั้งนี้ เครื่องบินรุ่น 737 Max ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ของโบอิ้ง โดยบริษัทได้ระดมทุนกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงิน และธำรงไว้ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน ภายหลังจากที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือแสดงความกังวลต่อสถานะทางการเงินของบริษัท
วิกฤตการณ์ในปีนี้ส่งผลกระทบต่อโบอิ้งอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์แผงประตูเครื่องบินรุ่น 737 Max หลุดออกกลางอากาศเมื่อวันที่ 5 มกราคม ตามมาด้วยการลาออกของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การชะลอตัวของสายการผลิตอันเนื่องมาจากการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยโดยหน่วยงานกำกับดูแล และการประท้วงหยุดงานของสหภาพแรงงานซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 กันยายน
อย่างไรก็ดี การยุติการประท้วงเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และการกลับเข้าปฏิบัติงานตามปกติของพนักงานโบอิ้ง ณ โรงงานประกอบเครื่องบินในเขตเมืองซีแอตเทิล นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการฟื้นฟูสายการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 Max แม้ว่ากระบวนการผลิตจะยังคงดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม
การปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ของโบอิ้ง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทกำลังเผชิญในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงปัญหาภายในองค์กรเอง เช่น เหตุการณ์เครื่องบิน 737 Max ตก และข้อพิพาทแรงงาน
แม้การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ก็เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่โบอิ้งจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และปรับโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การปรับลดพนักงานย่อมส่งผลกระทบต่อบุคลากร และอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานที่เหลืออยู่ ดังนั้น โบอิ้งจำเป็นต้องสื่อสารกับพนักงานอย่างเปิดเผยและโปร่งใส สร้างความเข้าใจ และให้การสนับสนุนที่เหมาะสมแก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ เพื่อลดผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น และรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
ในขณะเดียวกัน การที่โบอิ้งสามารถยุติวิกฤตการณ์ประท้วงหยุดงาน และกลับมาเดินหน้าสายการผลิตเครื่องบิน 737 Max ได้อีกครั้ง นับเป็นสัญญาณเชิงบวก และเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูธุรกิจ อย่างไรก็ตาม โบอิ้งยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย และต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น และกอบกู้ชื่อเสียงของบริษัทกลับคืนมา
ในอนาคต โบอิ้งจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในด้านเทคโนโลยี การแข่งขัน และความคาดหวังของลูกค้า โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืน และความแข็งแกร่งให้กับองค์กร พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อ้างอิง foxbusiness