หากลองให้จำกัดความหมาย ‘ความหรูหรา’ หรือ Luxury เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะต้องตีความหมายถึงการใช้ชีวิตอู้ฟู่หรูหรา ร่ำรวย ใช้ของราคาแพงๆ หรือที่เรารู้จักกันภาษาวัยรุ่น คือ ‘ใช้ชีวิตติดแกลม’ แต่หากเจาะลึกมาที่วงการอสังหาริมทรัพย์ ความหรูหรา ไม่ได้มีกรอบแค่นั้น แต่ยังหมายถึงคุณภาพของสินค้า ความสมบูรณ์แบบ, ความพิเศษโดดเด่น, ความพิถีพิถัน และความสะดวกสบาย
TERRABKK ได้ทำงานวิจัย THE MOST POWERFUL BRAND IN REAL ESTATE 2024 and Consumer Insight : The Sense of Luxury and Design for Wellbeing มาจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คน ทำให้พบว่า คนแต่ละ GEN ตีความหมายถึงคำว่า Luxury แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งได้ 4 กลุ่มดังนี้
: จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ใช้ชีวิตหรูหรา รวมถึงการใช้สินค้าแบรนด์เนม ที่บ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างความสวยงามภาพลักษณ์และการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยอมจ่ายเพิ่ม เพื่อความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีและส่วนกลางที่ครบครัน โดยยอมเพิ่มเงิน ประมาณ 10-20%
: มองว่า “Luxury” คือ ความพิเศษ, ความสมบูรณ์แบบที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ เป็นกลุ่มที่มองหาสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต เช่น สินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือประสบการณ์ที่หรูหรา เช่น การใช้บริการโรงแรมระดับ 5 ดาว และยอมจ่ายเพิ่มกับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบายประมาณ 10-30% พร้อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับเรื่องความเป็นส่วนตัว ที่สามารถเพิ่มเงินได้สูงถึง 40%
: มองว่า “Luxury” คือ ความเรียบง่ายและคุณภาพที่ยั่งยืน โดยชอบสินค้าคุณภาพสูง แต่ไม่เน้นแบรนด์หรูหรา ที่ใช้งานได้จริง เป็นกลุ่มที่มองหาสินค้าที่สามารถใช้งานได้ในระยะยาวและมีคุณค่าทางจิตใจ โดยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความเป็นส่วนตัวและนวัตกรรมเพื่อการประหยัดพลังงานประมาณ 10-20% และปฏิเสธในการจ่ายเพิ่มเพื่อดีไซน์และความหรูหราที่ดูฟุ่มเฟือย
: มองว่า “Luxury” คือ การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง ชอบสินค้าแบรนด์หรูหรา สินค้าหายาก และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมมองหาประสบการณ์ที่หรูหราและเป็นเอกลักษณ์ ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองผ่านสินค้าแบรนด์หรูหรา โดยเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมจ่ายเพิ่มในหลายๆ ด้าน และมองหาความสมดุลระหว่างราคากับคุณภาพ
สำหรับแนวโน้มการซื้อบ้านนั้น พบว่า จากแบบสอบถาม มีเพียง 36% ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 2023 ที่มีผู้ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ราว 42% สะท้อนกำลังซื้ออสังหาฯของผู้บริโภคที่ลดลง และชะลอการตัดสินใจซื้อ หรือเลื่อนการซื้อออกไปนานขึ้น สอดคล้องกับ Consumer Confidence Indexพบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ลดลง ซึ่งคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และมองว่าในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี ในการซื้อสินค้ามูลค่าสูง อย่างอสังหาฯ หรือรถยนต์
นอกจากนี้ ยังพบว่า ในปีนี้กลุ่ม Baby Boomer มีแนวโน้มจะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกำลังมองหาบ้านใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนสูงวัย โดยมีพื้นที่ระเบียง ที่สามารถนั่งพักผ่อน ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบ มีมุมสงบเป็นส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่ม Gen X ที่เห็นสัญญาณความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกันยังต้องการพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามราว 59% ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี พบว่า กลุ่มนี้มีพฤติกรรมการเลือกซื้อที่เปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ บริการหลังการขาย, ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสภาพแวดล้อมภายในโครงการ
อย่างไรก็ตาม พบว่า ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ราว 86% รองลงมา คือ คอนโดมิเนียม 44% และทาวน์โฮม 24% ตามลำดับ โดยกลุ่มราคาจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ น้อยกว่า 3 ล้านบาท คิดเป็น 37%, กลุ่ม 3-5 ล้านบาท คิดเป็น 30% และกลุ่ม 5-7 ล้านบาท คิดเป็น 15% ส่วนกลุ่มมากกว่า 7 ล้านบาท ถึง มากกว่า 20 ล้านบาท มีสัดส่วนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 17% โดยกลุ่มผู้ที่ตั้งงบประมาณมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมองว่า “พื้นที่รับประทานอาหาร” และ “ห้องน้ำ” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนความหรูหรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่มีงบประมาณมากกว่า 20 ล้านบาทให้ความสำคัญกับ “พื้นที่ส่วนกลาง” และ “พื้นที่สวนในบ้าน” ซึ่งมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ Terra ยังได้มีการสำรวจความคิดเห็น ของผู้ทำแบบสอบถามพบว่า ‘แสนสิริ’ เป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคมองว่าตอบโจทย์ความหรูหราและมีมาตรฐานที่สุด