ขณะนี้ NVIDIA บริษัทผลิตชิป AI สัญชาติอเมริกัน กำลังเป็นที่สนใจอย่างมาก หลังจากก้าวสู่บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดระดับโลกเมื่อเดือนมิ.ย.67ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่ากว่า 122.50 ล้านล้านบาท แซงหน้าบริษัทเทคฯ ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Microsoft และ Apple
สำหรับใครที่เป็นสายเทคฯ คงต้องรู้จัก NVIDIA ในฐานะบริษัทเทคฯที่มีระบบนิเวศครบวงจร และสำหรับใครที่เป็นนักลงทุน ก็คงรู้จัก NVIDIA ในฐานะหนึ่งในหุ้นสหรัฐที่มีผลประกอบการที่ดี จนกลายเป็นหุ้น 7 นางฟ้า
ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นทั้งสายเทคและนักลงทุน ก็คงได้ยินข่าวการมาเยือนไทยของผู้ก่อตั้งและซีอีโอ NVIDIA ‘นายเจนเซ่น หวง’ ที่มาเจอนายกฯ แพทองธาร และ การเข้างาน AI Vision for Thailand : The First Step for Thailand Sovereign AI เปิดตัว”โครงสร้างพื้นฐาน AI ของประเทศไทย”
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมารู้จักกับ NVIDIA บริษัทที่เริ่มจากผลิตการ์ดจอคอมให้เกมเมอร์ สู่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ที่ทรงพลังที่สุดในยุค AI และเป็นหนึ่งในหุ้น 7 นางฟ้า
NVIDIA คือ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1993 โดยชาวไต้หวัน นายเจนเซ่น หวง (Jensen Huang)
NVIDIA เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตชิปในหน่วยประมวลผลทางด้านกราฟิก (Graphic Processing Units - GPUs) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า การ์ดจอ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หากติดตั้งไว้ในคอมพิวเตอร์ก็จะทำให้ผู้เล่นเกมสัมผัสถึงความสวยงามและการเคลื่อนไหวที่สมจริงของตัวละครในเกม ซึ่งตอนนั้น GPU ของ NVIDIA ได้ออกมาถูกใจเหล่าเกมเมอร์อย่างมาก ส่งผลให้บริษัทเริ่มพัฒนาสินค้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น CPU, DPU, GPU และ ซอฟต์แวร์ AI ต่างๆ
จุดเปลี่ยนสำคัญ ของ NVIDIA เกิดขึ้นในปี 2010 เมื่อบริษัทได้หันมาสนใจในการพัฒนา AI แบบจริงจัง รวมถึงการทำMachine Learning ด้วยชิป GPU ของตัวเอง และพัฒนาชิปสำหรับการใช้งานด้านนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ NVIDIA เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก คือ การมาของ AI ในช่วงที่ ChatGPT ได้รับความนิยม ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งทั่วโลกกระโดดเข้ามาทำธุรกิจในส่วนนี้ เช่น Bard AI ของ Google, Ernie Bot ของ Baidu และอื่น ๆ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการใช้งานของชิปในธุรกิจ Data Center มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะชิปประมวลผลนั้นจะช่วยให้การประมวลผลข้อมูลขนาดมหึมาใน Data Center ของผู้พัฒนา AI เกิดขึ้นได้จริง
ดังนั้น การเข้ามาของ AI ส่งผลให้ในปี 2024 หุ้น NVIDIA ทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap มากที่สุดในโลก แซงหน้าทั้ง Microsoft และ Apple ได้สำเร็จ เมื่อวันอังคารที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้จากการผลิตชิปสำหรับการประมวลผลของศูนย์ข้อมูลสำหรับบริการ เช่น Microsoft Office รวมไปถึงชิปประมวลผลการทำงานของ AI เช่น Machine Learning และ Deep Learning เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรม Cloud Computing อีกด้วย
โดยอ้างอิงจากงบการเงินของบริษัทในปี 2019 NVIDIA มีรายได้จากธุรกิจ Data Center เพียง 2,983 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้รวม ขณะที่ปี 2022 บริษัทมีรายได้ในส่วนนี้อยู่ที่ 15,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นส่วนรายได้ 56% และคิดเป็นการเติบโตถึง 5 เท่าภายในเวลา 4 ปี
รายได้ส่วนนี้มาจากการ์ดจอที่ไว้ใช้สำหรับการเล่นเกม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้การประมวลผลภาพมีความสวยงามและสมจริงมากยิ่งขึ้น โดย NVIDIA ถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการ์ดจอเกมด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 84% เนื่องจากบริษัทมีกลยุทธ์ที่เน้นการผลิตการ์ดจอโดยเฉพาะ ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์กลายไปเป็นที่จดจำของหมู่คนเล่นเกม
อีกทั้ง NVIDIA ยังมีการจับมือกับผู้ผลิตเกมคอนโซลรายใหญ่หลายราย เช่น Sony (PlayStation), Nintendo และ Microsoft (Xbox) ซึ่งนี่คือการช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Gaming ของบริษัท
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การ์ดจอของ Nvidia สามารถครองอันดับ 1 ในส่วนแบ่งการตลาดคือ การ์ดจอของ NVIDIA มีเทคโนโลยีการปรับภาพให้คมชัดมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีชื่อเรียกว่า Deep Learning Super Sampling (DLSS) โดย AI ตัวนี้จะช่วยสร้างเฟรมบนวิดีโอเกม ด้วยการทำนายล่วงหน้าและเร็นเดอร์ภาพที่จะแสดงบนหน้าจอ แทนการใช้การประมวลผลแบบเดิมที่ต้องใช้ชิปประสิทธิภาพสูง ซึ่ง NVIDIA เผยว่าเทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ราว 2 – 3 เท่า
การ์ดจอในบางรุ่นยังมีความสามารถในการประมวลผลเพื่อใช้ขุดคริปโทเคอร์เรนซีอีกด้วย โดย NVIDIA ก็มีการพัฒนาการ์ดจอที่ไว้ใช้สำหรับนำไปขุดคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ เรียกว่า Cryptocurrency Mining Processor ซึ่งก็รวมอยู่ในส่วนธุรกิจนี้ด้วย
รายได้ในส่วนนี้มาจากการผลิตชิปที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การเรนเดอร์และประมวลผลข้อมูลให้ออกมากลายเป็นภาพหรือวิดีโอที่เข้าใจง่าย เช่น การจำลองภาพ 3 มิติ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ไว้ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก
รายได้จากการผลิตชิปสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง โดยมี NVIDIA DRIVE เป็นผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งบริษัทกล่าวว่าชิปดังกล่าวจะช่วยประมวลผลข้อมูลเซนเซอร์ให้กับรถยนต์ได้แบบเรียลไทม์ และช่วยระบุตำแหน่งสิ่งของรอบรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ
หุ้น 7 นางฟ้า คือ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาดสูง เติบโตอย่างต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
โดยหุ้น 7 นางฟ้า ได้แก่ Amazon, Apple, Google (Alphabet, Microsoft, Meta (Facebook), Tesla และ NVIDIA
ซึ่งหากเราดูจากชื่อบริษัทนั้น นี่คือ 7 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราเกือบทุกคนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเขาในชีวิตประจำวัน แต่กว่า NVIDIA จะเข้ามาเป็นหนึ่งในหุ้น 7 นางฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยสามารถแบ่งไทมไลน์ออกมาเป็น 4 ช่วงเวลาด้วยกัน ได้แก่ ยุคเริ่มต้น, ยุคแห่งความท้าทาย, ยุคแห่งคริปโทเคอร์เรนซี และ โควิด, ยุคแห่ง Generative AI
ในช่วง 3 ปีแรกที่หุ้น NVIDIA เข้า IPO จนเติบโตและถูกนำเข้าคำนวณรวมในดัชนี S&P500 ราคาหุ้น Nvidia สร้างผลตอบแทนได้สูงถึงกว่า 1,600% และ Market Cap ของบริษัทแตะระดับ 8 พันล้านเหรียญ สวนทางกับหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงเกิดวิกฤติ dot-com bubble
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ NVIDIA เติบโต คือ การนำเอาเทคโนโลยีของบริษัทเข้าไปอยู่ในเครื่องเล่นเกมอย่าง Xbox ของ Microsoft และ PlayStation ของ Sony โดยชิปการ์ดจอ GeForce ของ Nvidia ได้รับความนิยมจากทั้งบริษัทผลิตเครื่องเล่นเกมและผู้ใช้งานที่เป็นคนเล่นเกมอย่างสูงเนื่องจากการแสดงผลเกมต่าง ๆ ผ่านการ์ดจอของ Nvidia ให้ประสบการณ์ที่สมจริงและแสดงผลออกมาเป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก และต่อมาชิปการ์ดจอของ Nvidia ยังถูกนำเข้ามาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ PC ส่งผลให้การเล่นเกมในเครื่อง PC ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ในช่วงเวลา 6 ปีนี้ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของ NVIDIA ซักเท่าไร ราคาหุ้น NVIDIA ปรับลดลงอย่างมากในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 เนื่องจากวิกฤติที่เกิดขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้งานชิปลดลง และยังเป็นช่วงเวลาที่บริษัทผลิตชิปคู่แข่งสำคัญของ Nvidia อย่าง AMD กลับมาพัฒนาเทคโนโลยีได้ดี และกลับมาได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอีกครั้ง และในช่วงเวลานั้นเอง NVIDIA ยังมีความขัดแย้งกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Intel ด้วยการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรระหว่างกัน ก่อนที่ข้อพิพาทจะจบลงด้วยการที่ Intel ต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้ NVIDIA จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่บริษัทต้องเผชิญกับหลายปัญหาพร้อมกัน NVIDIA ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นก็คือ การเปิดตัวชิปสำหรับการใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ใน Data center ที่ช่วยในการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการการประมวลผลขั้นสูงอย่าง การสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และ การพยากรณ์อากาศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ NVIDIA เข้าสู่ตลาดที่จะทำเงินให้กับบริษัทอย่างมหาศาลในเวลาต่อมา และบริษัทต้องใช้เวลานานถึง 9 ปี กว่าที่ราคาหุ้น NVIDIA จะกลับมาพุ่งสูงขึ้นและแซงหน้าจุดสูงสุดเดิมในปี 2007 ได้
ราคาหุ้นของ NVIDIA ได้ปรับเพิ่มขึ้นแรงอีกครั้งในปี 2015 เนื่องจากในช่วงเวลานั้นชิปของ NVIDIA ได้กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นกับเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น การประมวลผลกราฟฟิกขั้นสูง ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมไปถึงเริ่มมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ทีเริ่มใช้งานชิปของ NVIDIA
และแน่นอนว่าการได้รับความนิยมอย่างมากของ Bitcoin และ Cryptocurrency ทำให้ความต้องการชิปการ์ดจอของ NVIDIA ที่ต้องนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของคอมพิวเตอร์เพื่อการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างสูง และถึงแม้ในเวลาต่อมาราคาของ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ จะปรับลดลง และการขุด Bitcoin จะได้รับความนิยมลดลงอย่างมาก แต่ความต้องการใช้งานชิป Data center ของ NVIDIA ยังคงพุ่งสูงขึ้น
เช่นเดียวกันในตอนนั้นเกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ยังเหมือนเป็นตัวเร่งความต้องการใช้งานชิปของ NVIDIA เพิ่มมากขึ้นไปอีกเนื่องจากการทำงานแบบ Remote work ต้องการอุปกรณ์ใหม่ ๆ และการประมวลผลที่มีความรวดเร็ว โดยในช่วงระหว่างปี 2017-2021 รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data center ของ NVIDIA เพิ่มสูงขึ้นกว่า 8 เท่า
ในปี 2022 ราคาหุ้น NVIDIA ปรับลดลงแรงไม่ต่างจากหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ เนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ความต้องการใช้งานชิปในช่วงแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังลดลงอย่างมากหลังจากมีการเปิดเมืองและผู้คนทั่วโลกกลับมาใช้ชีวิตในรูปแบบปกติ
แต่ในช่วงปลายปี 2022 นี้เองที่บริษัท OpenAI ได้เปิดตัว ChatGPT – Generative AI ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นเหมือนตัวจุดชนวนให้เทคโนโลยี AI กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทเทคโนโลยีต้องพัฒนาและกลายมาเป็นกระแสการลงทุนหลักของโลก โดย NVIDIA กลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งจากการเข้ามาของเทคโนโลยี AI เนื่องจากชิป GPU ซึ่งใช้งานกับ AI ของ NVIDIA มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและบริษัทผลิตชิปอื่น ๆ ยังไม่สามารถก้าวตามทันได้ในปัจจุบัน ทำให้รายได้ของ NVIDIA ที่มาจาก Data center แซงหน้ารายได้จากธุรกิจเกมได้เป็นครั้งแรกในปี 2023 และการเติบโตของรายได้รวมยังเติบโตได้ในระดับ 3 digit หลายไตรมาสติดต่อกัน
นายเจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท NVIDIA เข้าพบ นายกฯ แพทองธาร เพื่อตั้งใจพัฒนา AI หลังเล่งเห็นว่าประเทศไทยสามารถขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI ระดับภูมิภาคและโลกและได้มีการร่วมมือและให้การสนับสนุน startup ในไทยกว่า 50 ราย และมหาวิทยาลัยไทยอีกกว่า 40 แห่ง
โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล ทรัพยากรบุคคล และเครือข่ายธุรกิจภายในประเทศให้สอดคล้องกับภาษาถิ่น วัฒนธรรม และแนวปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น การดูแลสุขภาพ เกษตรกรรมอัจฉริยะ สำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และเห็นว่า ไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมาก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท NVIDIA เห็นถึงความสำคัญของบุคลากรด้าน AI ที่ถือเป็นหัวใจของอุตสาหกรรม AI การลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมด้าน AI จะช่วยให้ไทยพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะให้สามารถขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ได้ โดย NVIDIA พร้อมสำรวจโอกาสความร่วมมือในด้านนี้
อีกหนึ่งภารกิจหลังเข้าพบนายกฯ แพทองธาร นายเจนเซ่น ได้เข้าร่วมงาน “AI Vision for Thailand : The First Step for Thailand Sovereign AI” ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัทสยาม เอไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะ NVIDIA CLOUD PARTNER (NCP) รายแรกในประเทศไทย
นายเจนเซ่น หวง ได้เล่าว่า การสร้าง Sovereign AI หรือการมีอธิปไตย AI เป็นของตนเอง เป็นสิ่งที่ตอนนี้ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสำคัญ และปัจจุบันกว่า 20 ประเทศได้มีการพัฒนาโมเดลภาษาของตัวเอง โดยต้องมีการการลงทุนใน Infrastructure ที่ในอนาคตจะกลายเป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐาน
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ข้อมูล (Data) เพราะ ข้อมูล คือ ทรัพยากรของประเทศ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และข้อมูลเหล่านี้เป็นของคนไทย คนไทยควรเป็นเจ้าของข้อมูลของตนเองและมีสิทธิในการปกป้องคุ้มครองเหนือข้อมูลของตนเอง
นายเจนเซ่น หวง ได้เล่าว่า ในอนาคต‘ภาษาอังกฤษ’จะไม่ใช่ภาษาเดียวที่สื่อสารกับคอมพิวเตอร์แต่แน่นอนว่าภาษาคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานกันทั่วโลกล้วนมีภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น Python หรือ C Plus แต่ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นภาษาของมนุษย์ในที่สุด
โดยในอนาคต เราจะสั่งการคอมพิวเตอร์แม้จะไม่รู้วิธีการเขียนโปรแกรม เพียงแค่บอก AI ว่าเราต้องการอะไร AI จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางเทคโนโลยี ลดอุปสรรคทางเทคโนโลยี และทุกคนในสังคมจะได้รับประโยชน์จากมัน
โปรแกรม NVIDIA Cloud Partner คือ ความร่วมมือระหว่าง SIAM AI Cloud และ NVIDIA ในการพัฒนาระบบ Ecosystem ด้านเทคโนโลยี AI ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการพัฒนา 4 อย่าง ได้แก่
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูง : การนำสถาปัตยกรรมอย่าง NVIDIA’s Cutting Edge AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนากลุ่มงานด้าน AI
- การพัฒนาทักษะและการสร้างอาชีพ : การพัฒนาความสามารถทางด้านโปรแกรมต่างๆ การสร้างอาชีพและโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกับ AI
- การสร้างความร่วมมือ : การสร้างความร่วมมือกับหลายภาคส่วนของประเทศ รวมถึงสตาร์ทอัพภายในประเทศ, SMEs, มหาวิทยาลัย และหน่วยงานรัฐบาล
- การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบโครงสร้างพื้นฐาน : การสร้างความร่วมมือกับศูนย์ข้อมูลอันดับต้นๆ ของประเทศ เพื่อยกระดับความสามารถในการประมวลผลข้อมูล
นอกจากนี้ภายงาน NVIDIA ยังได้เปิดตัวคลัสเตอร์ “GPU NVIDIA H100 Tensor Core” ที่พัฒนาโดย NVIDIA สำหรับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ รวมถึงซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ตลอดจนการขยายไปสู่ GPU NVIDIA H200 Tensor Core รุ่นถัดไปและซูเปอร์ชิป NVIDIA GB200 Grace Blackwell
อ้างอิง : SET , TISCO, Royal Thai Government , Bloomberg, Business Insider