เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในปี 2566 ด้วยรายได้จากการขายและบริการพุ่งสูงถึง 8,551 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อน
เมื่อเร็วๆนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป หรือ MAJOR แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในปี 2566 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มีรายได้จากการขายและบริการพุ่งสูงถึง 8,551 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อนที่มี 6,388 ล้านบาท มีกำไรสุทธิพุ่งสูงแตะ 1,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 313% จากปีก่อนที่มี 252 ล้านบาท โดยทางเมเจอร์ อธิบายว่า ความสำเร็จครั้งนี้มาจากกระแสความนิยมของภาพยนตร์ไทย 3 เรื่อง ได้แก่ สัปเหร่อ, ธี่หยด และ 4Kings 2 ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้ทำรายได้สูงสุดในปี 2566
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายสาขาในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นถึง 55% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านธุรกิจอื่นๆ ของเมเจอร์ ก็เติบโตเช่นกัน โดยธุรกิจ Bowling และคาราโอเกะมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการจัดกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ได้รับการตอบรับดี รายได้อื่นของบริษัทอยู่ที่ 183 ล้านบาท ลดลง 49% จากปี 2565 เนื่องจากปี 2565 บริษัทรับรู้รายได้เงินชดเชยจากการประกันภัยสาขาสุขุมวิท
ต้นทุนการขายและบริการ เพิ่มขึ้น 23% อยู่ที่ 5,684 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากต้นทุนของโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ แต่สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ ลดลง จาก 72% เหลือ 66% ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ เพิ่มขึ้น 27% อยู่ที่ 2,159 ล้านบาท แบ่งเป็น
สัดส่วนค่าใช้จ่ายรวมต่อรายได้ ลดลง จาก 27% เหลือ 25% เทียบกับปีก่อน ส่วนรายได้กำไรจากการจำหน่ายเงินทุนอื่นๆ เพิ่มขึ้น 220 ล้านบาท อาทิ
ส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจากเงินลงทุน เพิ่มขึ้น 339% อยู่ที่ 105 ล้านบาท มาจาก ไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกองทุนรวมสิทธิ์การเช่าอสังหา เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ จำนวน 172 ล้านบาท จากการปรับมูลค่ายุติธรรม
สรุปต้นทุนและค่าใช้จ่ายมีการเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนต่อรายได้ ลดลง สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นจากกำไรจากการจำหน่ายเงินทุนและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน อนาคต เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป วางแผนขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่ล้ำสมัย และพัฒนาธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน