แม้ในช่วงนี้ตลาดหุ้น อาจจะไม่ได้สดใสมากนักแต่สำหรับบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีหลายบริษัทที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน เช่น สองแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังอย่าง โอ้กะจู๋ และ มากุโระ ประกาศเตรียมระดมทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน ทั้งโอ้กะจู๋ และ มากุโระ มีที่มาที่ไปอย่างไร และสถานะความแข็งแกร่งของทั้ง2ธุรกิจมีมากน้อยแค่ไหน Spotlight พาไปทำความรู้จักกับสองแบรนด์แห่งวงการร้านอาหารในไทยให้มากขึ้น
หลายคนรู้จักแบรนด์ โอ้กะจู๋ จากเมนูสลัดและอาหารเพื่อสุขภาพที่สดใหม่ ซึ่งเปิดให้บริการมานานกว่า 11 ปีแล้ว ปัจจุบันโอ้กะจู่ อยู่ภายใต้ บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ)โดยมี บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ และเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 159 ล้านหุ้น
จุดกำเนิดที่แท้จริงของร้านอาหารโอ้กะจู๋อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เปิดร้านสาขาแรกในปีพ.ศ. 2556 หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้เริ่มทำธุรกิจพืชผักสวนครัวตั้งแต่ปีพ.ศ. 2553 โดยมี 3 ผู้ร่วมก่อตั้งคือ ชลากร เอกชัยพัฒนกุล (อู๋) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) นายจิรายุทธ ภูวพูนผล (โจ้) และนายวรเดช สุชัยบุญศิริ (ต้อง) ชื่อเล่นของ 2 ผุ้ก่อตั้งคือ อู่ กับ โจ้ เป็นที่มาของชื่อร้านโอ้กะจู๋ ที่สร้างความแปลกใหม่ ติดหู เป็นอย่างมาก
โดยโอ้กะจู๋ นำเสนออาหาร "ประสบการณ์จากฟาร์มสู่โต๊ะ" จุดขายสำคัญคือวัตถุดิบสดใหม่ เก็บเกี่ยวจากฟาร์มออร์แกนิค ส่งตรงถึงโต๊ะอาหาร โดนใจผู้บริโภคในยุคที่ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญของการเติบโตของร้านโอ้กะจู๋คือในปี 2564 มีการเข้ามาถือหุ้นโดย บมจ. ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ในสัดส่วน 20% ช่วยให้บริษัทฯ สามารถสร้างโอกาสการเติบโตและก้าวไปอีกขั้นจนนำมาสู่การเตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ล่าสุด บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด มหาชน หรือ OKJ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 159 ล้านหุ้น หรือคิดไม่เกิน 26.1%ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ผู้บริหารระบุว่า การระดมทุนในครั้งนี้เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายสาขา เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยได้มีการแต่งตั้ง บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบันร้านโอ้กะจู๋มีสาขามากกว่า 34 แห่งทั่วประเทศไทย ได้แก่
นอกจากนี้ยังรุกขยายธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบรนด์ “โอ้กะจู๋” พร้อมตอกย้ำการเป็น “The King of Organic Salad” ด้วยการเตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ นั้นก็คือ“Ohkajhu Wrap & Roll” และ “Oh Juice” จึงทำให้ธุรกิจของ OKJ มี3 ธุรกิจหลัก
ผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปี บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน)
ฝั่งเจ้าของแบรนด์ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบพรีเมี่ยมส่งตรงจากญี่ปุ่น เตรียมยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
มากุโระ เกิดจากความหลงใหลในศิลปะการปรุงอาหารและวัฒนธรรมอันงดงามของญี่ปุ่น เริ่มต้นจากร้านอาหารที่มุ่งมั่นนำเสนอ "ซูชิที่เต็มอิ่มทุกสัมผัส" (Sensual Sushi) สู่ลูกค้า ด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศส่งตรงจากญี่ปุ่น ผ่านกลยุทธ์ Digital Marketing ที่เข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบรนด์ MAGURO ที่เป็นแบรนด์แรกของกลุ่ม เปิดสาขาแรกในปี 2558 ที่ ชิค รีพับบลิค บางนาโดย ในขณะนั้นมีพนักงานประจำสำนักงานใหญ่เพียง 10 คน
ในช่วงแรก มากุโระ สร้างปรากฏการณ์ "ร้านซูชิคิวยาว" ดึงดูดลูกค้าให้ยินดีต่อแถวเป็นชั่วโมงๆ เฉกเช่นเดียวกับร้านอาหารชื่อดังในญี่ปุ่น ด้วยความคุ้มค่า สดใหม่ คุณภาพเยี่ยม รสชาติกลมกล่อมลงตัว และบริการที่ใส่ใจเหนือระดับ จากความสำเร็จอย่างล้นหลาม มากุโระ พัฒนาสูตรอาหาร การบริการ และสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การขยายสาขาเพิ่มอีก 3 สาขาในปี 2559 มุ่งเน้นไปที่ย่านที่พักอาศัยในกรุงเทพชั้นนอก เช่น ราชพฤกษ์ และแจ้งวัฒนะ
ในปี 2560 มากุโระ เปิดสาขาแรกในห้างสรรพสินค้าที่เมกะ บางนา ต่อด้วยอีก 4 สาขาในช่วงปี 2561-2563 ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ เช่น สยามสแควร์ ห้างเอสพลานาดรัชดา และพระราม 2 เพื่อมอบประสบการณ์การทานอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมให้กับลูกค้าทุกท่าน ในปี 2563 มากุโระ เปิดตัว "MAGURO GO" บริการสั่งอาหารแบบจัดส่งถึงบ้าน มอบประสบการณ์มากุโระแบบเต็มอิ่มแม้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด มากุโระ ขยายขอบเขตสู่ธุรกิจอาหารเกาหลีด้วยแบรนด์ "SSAMTHING TOGETHER" บริการปิ้งย่างเกาหลีแบบ Delivery นำเสนอประสบการณ์การทานปิ้งย่างแบบเกาหลีคู่กับการดูซีรี่ย์เกาหลี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับช่วง lockdown และ Work From Home
มากุโระ กรุ๊ป ฉลองครบรอบ 6 ปีด้วยการเปิด Flagship Store ใจกลางศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ด พร้อมกับการ Rebranding ครั้งใหญ่ ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูพรีเมี่ยม ทันสมัย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และจากความสำเร็จของ SSAMTHING TOGETHER บริการปิ้งย่างเกาหลีแบบ Delivery มากุโระ กรุ๊ป พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นร้านอาหารเกาหลีพรีเมี่ยม ที่พร้อมมอบประสบการณ์การทานแบบต้นตำรับ เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศ รสชาติจัดจ้าน และวัฒนธรรมการทานแบบเกาหลีแท้ๆ สาขาแรกเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ห้างสรรพสินค้าเมกะบางนา และในปีเดียวกันก็ผนึกกำลังกับกลุ่มทุนสถาบันชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เพื่อต่อยอดและขยายธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม
ปี 2565 บริษัท มากุโระ กรุ๊ป เปิดตัวแบรนด์ที่ 3 ในเครือ ใจกลางห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน ภายใต้ชื่อ “HITORI SHABU" ชาบูชาบูและสุกียากี้ต้นตำรับญี่ปุ่นแบบคันไซ มอบประสบการณ์การทานในรูปแบบหม้อเดี่ยว และรสชาติของเนื้อพรีเมียมระดับ A5 ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย บริษัทได้เปิดตัว “ระบบการบริหารจัดการลูกค้าสมาชิก” อย่างเป็นทางการ โดยได้นำระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management ระดับสากลอย่าง Sale Force เข้ามา บริหารจัดการระบบลูกค้าสมาชิกสัมพันธ์ ให้กับทุกแบรนด์ในเครือ จนถึงวันนี้ ลูกค้าสมาชิกในเครือ มากุโระ กรุ๊ป มีจำนวนกว่า 150,000 คน
จากความนิยมและความสำเร็จของแบรนด์น้องใหม่ทั้ง 2 แบรนด์อย่าง SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU ร่วมกับความจงรักภักดีในแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ MAGURO ทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายสาขาของทั้ง 3 แบรนด์ เพื่อตอบรับกับความต้องการของลูกค้าในย่านต่างๆ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน มากุโระ มีพนักงานกว่า 800 คน มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่
ซึ่งทำให้ในปัจจุบันร้านอาหารในเครือ มากุโระ กรุ๊ป มีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 26 สาขา
นอกจากนี้ ทาง มากุโระ ยังมีบริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่อย่าง MAGURO CATERING ที่มอบประสบการณ์การจัดเลี้ยงที่พิเศษ สะดวก รวดเร็ว วัตถุดิบสดใหม่ ปรุงอย่างพิถีพิถัน คงรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับ เหมาะสำหรับทุกงานสำคัญของคุณ
บริการจัดส่งอาหารอย่าง MAGURO GO นำเสนออาหารญี่ปุ่นเดลิเวอรีคุณภาพพรีเมียม เมนูหลากหลาย ครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการ ส่งตรงถึงหน้าประตูบ้าน
มากุโระ กรุ๊ป ยึดมั่นในกลยุทธ์หลัก 2 ประการ คือ “คุณภาพ” และ “บริการ” โดยมุ่งมั่นนำเสนอวัตถุดิบชั้นเลิศ บริการที่เหนือระดับ และประสบการณ์การทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร เพื่อครองใจลูกค้าและสร้างความเชื่อมั่นที่ยั่งยืน และ มากุโระ กรุ๊ป ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเมนูอาหารใหม่ ๆ ที่หลากหลาย น่าสนใจ และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
นอกจากนี้ มากุโระ กรุ๊ป ยังลงทุนในระบบ CRM ระดับโลกอย่าง Salesforce และเปิดตัว Maguro Membership รูปแบบระบบสมาชิกมาตรฐานสากล ผสมผสานกลยุทธ์ Customer DEEPathy วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างแม่นยำ เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า นำเสนอ Offering แบบ Customization มอบประสบการณ์ที่ตรงใจ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ด้วยกลยุทธ์ Customer DEEPathy ช่วยให้มากุโระ กรุ๊ป เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยในปี 2564-2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 387.61 ล้านบาท และ 665.85 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 71.78% และมีกำไรสุทธิ 9.57 ล้านบาท และ 31.36 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตสูงถึง 227.69% ในส่วนงวด 6 เดือนแรก ในปี 2565 และปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 274.28 ล้านบาท และ 501.20 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 82.73% โดยมีกำไรสุทธิ 8.02 ล้านบาท และ 39.72 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นถึง 395.26%”
ผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปี บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบันบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MAGURO” มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (“HOLISTIC IMPACT”) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%
ทั้งนี้ MAGURO มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนี้ 1.) HOLISTIC IMPACT สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 28.34% และ 13.52% ตามลำดับ 2.) นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 3.) นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 4.) นายรณกาจ ชินสำราญ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 5.) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ และ 6.) ประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 27.03%
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจน บ่งชี้ถึงศักยภาพของมากุโระ กรุ๊ป ในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ขยายธุรกิจ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ
สรุป โอ้กะจู๋ และ มากุโระ สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารเตรียมบุกตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสการเติบโตในธุรกิจอาหารของไทย และการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของทั้งสองบริษัท จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ขยายธุรกิจ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งโอ้กะจู๋ และ มากุโระ ต่างมีจุดแข็งและกลยุทธ์ที่แตกต่าง แต่ มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารของไทย อนาคตหลังจาดนี้การแข่งขันในธุรกิจอาหารจะทวีความเข้มข้นขึ้น แต่เชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน จะผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ทั้งโอ้กะจู๋ และ มากุโระ จะสามารถบรรลุเป้าหมายและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต