หม่าล่าสายพานที่เคยเป็นดาวเด่นในวงการอาหารไทย กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อกระแสความนิยมเริ่มจางหาย และผู้บริโภคหันไปหาบุฟเฟต์ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและหลากหลายมากกว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในพฤติกรรมผู้บริโภค และความจำเป็นที่ผู้ประกอบการ SME ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสาเหตุที่ทำให้หม่าล่าสายพานต้องเผชิญกับช่วงขาลง และถอดบทเรียนสำคัญที่ SME สามารถนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดอาหาร นอกจากนี้ เราจะมาดูกันว่าสองแบรนด์อาหารไทยชื่อดังอย่าง "สุกี้ตี๋น้อย" และ "Mo-Mo-Paradise" มีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้อย่างไร ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านอาหารขนาดเล็ก หรือผู้ที่กำลังวางแผนจะเข้าสู่ธุรกิจอาหาร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงปัจจัยสำคัญในการสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดอาหารไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์หม่าล่าสายพานที่เคยสร้างกระแสฟีเวอร์ในปีที่ผ่านมา กำลังเผชิญกับช่วงขาลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าข้อมูลจาก LINEMAN WONGNAI จะระบุว่าในปี 2565 มีคำสั่งซื้ออาหารประเภทหม่าล่าสูงถึง 1 ล้านออเดอร์ และเติบโตขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับปี 2565 แต่ในปี 2567 นี้ ร้านหม่าล่าสายพานรายใหญ่ที่เป็นผู้บุกเบิกตลาดในประเทศไทยกลับต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมาเป็นบุฟเฟต์อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค
ปัจจัยที่ส่งผลให้หม่าล่าสายพานเข้าสู่ภาวะดังกล่าวมีหลายประการ นอกเหนือจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในขณะที่จำนวนผู้บริโภคยังคงที่ ข้อมูลจาก Buffet Market Overview 2022 ยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความนิยมและมีแนวโน้มที่จะบริโภค "บุฟเฟต์" เพิ่มขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยยังคงให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ความคุ้มค่า และประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สนุกสนานมากกว่า
ตัวอย่างเช่น การรับประทานหม่าล่าสายพานอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของความหลากหลายของอาหาร เนื่องจากเมนูส่วนใหญ่มักจะเป็นเนื้อสัตว์และผักเสียบไม้ชนิดต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการความหลากหลายอาจรู้สึกเบื่อหน่ายได้ง่าย ในขณะที่บุฟเฟต์หม่าล่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดีกว่า ด้วยตัวเลือกอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ลูกชิ้น หรือของทานเล่นอื่นๆ นอกจากนี้ บุฟเฟต์ยังให้ความรู้สึกคุ้มค่ากว่าสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรับประทานอาหารในปริมาณมาก
นอกจากนี้ ประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์ยังมีความสนุกสนานและเป็นกันเองมากกว่า ผู้บริโภคสามารถเลือกหยิบอาหารที่ต้องการได้เองตามใจชอบ และสามารถรับประทานได้อย่างไม่จำกัดในเวลาที่กำหนด ซึ่งสร้างความพึงพอใจและความรู้สึกคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคได้มากกว่าการรับประทานหม่าล่าสายพานที่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณอาหาร
การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารไทยดุเดือดขึ้นทุกขณะ การสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน สองแบรนด์ดัง "สุกี้ตี๋น้อย" และ "Mo-Mo-Paradise" ได้พิสูจน์แล้วว่าการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สามารถนำไปสู่การสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงได้
สุกี้ตี๋น้อย ความอร่อยที่ทุกคนเอื้อมถึง เจาะกลุ่ม Mass
Mo-Mo-Paradise: ประสบการณ์พรีเมียมสไตล์ญี่ปุ่น เจาะกลุ่ม Mass - Premium
จากความสำเร็จของทั้งสองแบรนด์ SME สามารถนำไปปรับใช้ได้ดังนี้
แรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ การดำเนินธุรกิจอาหารในยุคที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่เรื่องราวของหม่าล่าสายพาน สุกี้ตี๋น้อย และ Mo-Mo-Paradise ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จเป็นไปได้เสมอสำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว และไม่หยุดพัฒนา
การเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภค และสร้างมาตรฐานและคุณค่าที่เหนือกว่า เป็นสามกลยุทธ์สำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ควรให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
สุดท้ายนี้สำหรับเจ้าของร้านอาหารขนาดเล็ก หรือผู้ที่กำลังวางแผนจะเข้าสู่ธุรกิจอาหาร ขอให้คุณอย่าท้อถอยกับอุปสรรคที่อาจพบเจอ จงมองความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต มุ่งมั่นที่จะเข้าใจลูกค้า สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และรักษามาตรฐานคุณภาพอย่างไม่ลดละ จำไว้ว่าทุกธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ เสมอ ขอให้คุณมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และเดินหน้าสร้างสรรค์ธุรกิจอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง แล้วความสำเร็จที่ยั่งยืนจะรอคุณอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน
อ้างอิง Krungsri Business Empowerment