BYD มุ่งมั่นบุกตลาดญี่ปุ่นอย่างไม่ลดละ แม้เผชิญอุปสรรคมากมาย ทั้งจากนโยบายภาครัฐที่เอื้อประโยชน์ให้ค่ายรถในประเทศ และทัศนคติเชิงลบของผู้บริโภคบางส่วนที่มีต่อสินค้าจีน แต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและราคาที่จับต้องได้ BYD จะสามารถเอาชนะใจผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น และสร้างความสำเร็จในตลาดที่ขึ้นชื่อว่า "ยาก" ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้หรือไม่?
BYD ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อบุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ด้วยการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการทุ่มงบประมาณด้านการตลาดและโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เพื่อหวังกระตุ้นยอดขายในตลาดที่ถือเป็นหนึ่งในบททดสอบที่ท้าทายที่สุดในแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก
ถึงแม้ BYD จะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน แต่การเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับการปรับเปลี่ยนนโยบายเงินอุดหนุนของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อ BYD และคู่แข่งหลายราย
เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ BYD ได้งัดกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบออกมาใช้ ทั้งการเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ 1,000 คันแรก และการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นให้หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD มากขึ้น
BYD ทุ่มงบการตลาด หวังเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น แม้ต้องเผชิญอุปสรรคทั้งความกังวลด้านคุณภาพสินค้าจากจีน และต้นทุนที่สูงขึ้นจากกลยุทธ์เชิงรุก แต่ถึงแม้ BYD จะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับ GM และ Ford รวมกัน แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำตลาดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บริโภคบางส่วนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าจากจีน อีกทั้งยังมีปัจจัยทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
"รถยนต์ของพวกเขามีคุณภาพดีเยี่ยม แต่ผมไม่คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จในตลาดญี่ปุ่น" ยูกิฮิโระ โอบาตะ สะท้อนความคิดของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นบางส่วนที่ยังคงเชื่อมั่นในสินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่า
อย่างไรก็ตาม BYD ก็ยังคงเดินหน้าทำตลาดในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโชว์รูมมากกว่า 30 แห่ง และมียอดขายรถยนต์มากกว่า 2,500 คันแล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่น และเน้นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ผ่านการสื่อสารถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของรถยนต์ BYD
"ในประเทศญี่ปุ่น มีกลุ่มผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีความรู้สึกไม่ดีต่อสินค้าจากประเทศจีน ดังนั้น เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดผู้บริโภคด้วยการเน้นย้ำถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของรถยนต์ BYD" อัตสึกิ โทฟูกุจิ ประธาน BYD Auto Japan กล่าว
การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเป็นไปอย่างดุเดือด โดย Toyota ทำยอดขายได้เพียง 4,200 คันในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ Tesla มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเกือบ 17,000 คัน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2023
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นยังไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยมียอดขายเพียง 1% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศอย่าง Toyota มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีไฮบริดมากกว่า
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับโครงการเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในเดือนเมษายน โดยเปลี่ยนเกณฑ์การพิจารณาจากเดิมที่ดูเพียงสมรรถนะของรถ มาเป็นการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น จำนวนสถานีชาร์จเร็วที่ผู้ผลิตติดตั้ง และบริการหลังการขาย โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์บางราย เช่น BYD ที่ต้องเผชิญกับการลดเงินอุดหนุนสำหรับรถ SUV รุ่น Atto 3 ลงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งโทฟูกุจิ ประธาน BYD Auto Japan ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท
BYD ไม่ยอมแพ้ต่อการปรับลดเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ด้วยการงัดกลยุทธ์เชิงรุกออกมาสู้ ทั้งการเสนอสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน และคืนเงินสำหรับผู้ที่ซื้อเครื่องชาร์จที่บ้านในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายเครือข่ายสถานีชาร์จเร็ว โดยมีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 100 แห่งภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้บริษัทมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนที่สูงขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ BYD ยังทุ่มงบการตลาดอย่างหนัก ทั้งการออกอากาศโฆษณาทางโทรทัศน์นำแสดงโดย Masami Nagasawa นักแสดงและนางแบบชื่อดัง ซึ่งโทฟูกุจิ ประธาน BYD Auto Japan ยอมรับว่าแม้จะใช้จ่ายเกินงบประมาณเดิมที่ตั้งไว้ แต่ก็ช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
ปัจจุบัน BYD มีรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นวางจำหน่ายในญี่ปุ่น ได้แก่ รถซีดาน Seal ราคา 5.28 ล้านเยน (รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง) และ Dolphin ราคาเริ่มต้น 3.63 ล้านเยน โดยทั้งสองรุ่นมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุน 450,000 เยน และ 350,000 เยน ตามลำดับ
การปรับเปลี่ยนนโยบายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมจะยังไม่สูงนัก แต่แบรนด์ต่างชาติกลับครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี
โจว จินเฉิง ผู้จัดการฝ่ายวิจัยจีนของบริษัทวิจัยรถยนต์ Fourin ในนาโกย่า กล่าวว่า "พวกเขาต้องหาทางปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ของตัวเอง" ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่รถยนต์ไฟฟ้าถูกนำมาใช้อย่างยั่งยืน และส่งเสริม "ในแบบฉบับของญี่ปุ่น"
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ทั้ง Mercedes, Volkswagen, Peugeot, Volvo, Hyundai และแม้แต่ Subaru ของญี่ปุ่นเอง ได้รับเงินอุดหนุนลดลง ตรงกันข้ามกับ Nissan และ Toyota ที่ยังคงได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด และ Tesla ที่ได้รับเงินอุดหนุนเท่าเดิมหรือสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลดเงินอุดหนุนไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับผู้บริโภคบางราย เช่น เคียวสุเกะ ยามาซากิ ผู้ซื้อรถยนต์ครั้งแรกในวัย 30 ต้นๆ ที่ตัดสินใจซื้อ BYD Atto 3 แม้จะพลาดเงินออมไปราว 2,000 ดอลลาร์ก็ตาม เขาให้เหตุผลว่าชอบระยะทางการขับขี่ที่มากกว่าของรถยนต์ BYD เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากญี่ปุ่น และไม่กังวลที่จะซื้อรถจากผู้ผลิตรถยนต์จีน "เพราะผมเคยทำงานที่เซี่ยงไฮ้" เขากล่าว "ผมรู้จัก BYD ดี"
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า BYD กำลังเผชิญกับความท้าทายในการเจาะตลาดญี่ปุ่น ท่ามกลางนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ และทัศนคติของผู้บริโภคบางส่วนที่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้าจากจีน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้บริโภคอีกกลุ่มที่เปิดรับและมองเห็นคุณค่าในผลิตภัณฑ์ของ BYD
ที่มา reuters